ภัยที่มากับหน้าหนาว นอกจาก โรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ RSV และโควิดแล้ว เราคงได้ยินข่าวการระบาด ของเชื้อ “โนโรไวรัส” ในประเทศจีน ซึ่งเชื้อโนโรไวรัสมักจะแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กที่มีภูมิต้านทานน้อยกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาว ไวรัสชนิดนี้มีความแข็งแกร่ง สามารถทนทานต่อความร้อนและยาฆ่าเชื้อต่าง ๆ ได้ดี โดยเฉพาะเจลแอลกอฮอล์
สำหรับไวรัสโนโร (Norovirus) เป็นสาเหตุสำคัญของโรคอุจจาระร่วงในคนได้ทุกกลุ่มอายุแต่มักพบในกลุ่มเด็กโตและผู้ใหญ่ซึ่งมักมีการระบาดในครอบครัวหรือชุมชนเดียวกัน เชื้อไวรัสเพียงแค่ 10-100 particles ก็สามารถทำให้เกิดอาการของโรคได้ การติดต่อเป็นแบบ faecal oral route และมีระยะฟักตัว 12-48 ชั่วโมง
ลักษณะของอาการผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย มีไข้ต่ำ ๆ อาการมักรุนแรงในเด็กเล็กและผู้สูงวัยเนื่องจากขาดน้ำ ปกติผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นและหายได้เองภายใน 2-3 วัน แต่ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงโดยเฉพาะในเด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุอาจก่อให้เกิดการขาดน้ำได้ ดังนั้นควรดื่มน้ำเกลือแร่โออาร์เอสเพื่อทดแทนการเสียน้ำและเกลือแร่ หรืออาจให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ปัจจุบันยังไม่มียาเฉพาะเจาะจงในการกำจัดเชื้อไวรัสนี้ อีกทั้งยังไม่มีวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อโนโรไวรัส
แม้ขณะนี้ ยังไม่พบการระบาดหนักของเชื้อ “โนโรไวรัส” ในประเทศไทย แต่ประชาชนก็ควรดูแลป้องกันการระบาดของเชื้อโนโรไวรัส ซึ่งสามารถทำลายได้โดยการใช้ความร้อนที่ 60 องศาเซลเซียส นาน 30 นาที หรือใช้ 1% Sodium hypochlorite ส่วนเชื้อที่ปนเปื้อนในน้ำนั้น สามารถใช้คลอรีนที่ความเข้มข้น 10 ppm ขึ้นไปในการทำลายเชื้อ
อย่างไรก็ตาม หลักการป้องกันก็เป็นสูตรเดียวกันกับการป้องกันไวรัสชนิดอื่นๆ การป้องกันคือล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ โดยล้างให้ถูกวิธีและนานพอ (ไม่น้อยกว่า 20 วินาที) ก่อนรับประทานหรือปรุงอาหาร หลีกเลี่ยงน้ำและอาหารที่ไม่สะอาด รับประทานอาหารที่ปรุงสุก ใช้หลักการกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ล้างผักและผลไม้ให้สะอาด ทำความสะอาดส่วนที่คนสัมผัสบ่อย ๆ ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการทำอาหารให้ผู้อื่นรับประทานเนื่องจากผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้นาน 2 สัปดาห์แม้จะไม่มีอาการแล้วก็ตาม