แม้แสงสปอร์ตไลต์ จะฉายมาที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ในฐานะผู้มีอิทธิพลเหนือพรรคเพื่อไทย และเวลานี้ดูเหมือนว่าเขาเองมีความพยายามที่จะสวมบท “ผู้กำกับ” รัฐบาลผสม ทั้งทางตรงและทางอ้อม
แต่ขณะเดียวกันยังพบว่าในความเคลื่อนไหวของทักษิณ นั้นยังมี “ฝั่งตรงข้าม” ขยับเคลื่อนตามติดเป็นเหมือน คู่ขนาน ติดตามตรวจสอบผ่านกระบวนการทางกฎหมาย ไปจนถึงการกดดันให้ “องค์กรอิสระ” ตามรัฐธรรมนูญ ที่ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องในการพิจารณาคำร้องที่มีทักษิณ เข้าไปเกี่ยวข้อง ให้เร่งดำเนินการไต่สวนคดีโดยเร็ว
ตลอดห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าทักษิณ ออกโรงเคลื่อนไหวทางการใน “สนามท้องถิ่น” ตีคู่ไปกับการสวมบทบาท “วิทยากรพิเศษ” ทำหน้าที่เป็นกูรู พูดคุยกับสมาชิกพรรคเพื่อไทย ในทุกมิติที่หัวหินที่ผ่านมา
ที่น่าสนใจนอกเหนือจากการออกอาการไม่พอใจ “พรรคร่วมรัฐบาล” แล้ว ยังพบว่าทักษิณ เองเพิ่งได้รับการแต่งตั้งจาก “นายกรัฐมนตรีอันวาร์” นายกฯมาเลเซีย ให้เป็น ที่ปรึกษาประธานอาเซียนปี 2025 แม้จะมีรายงานข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศว่า “ฝ่ายค้านมาเลย์” ไม่เห็นด้วย พร้อมทั้งตั้งข้อสงสัยว่าการแต่งตั้งครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับอาเซียนอย่างไร หรือจะส่งเสริมภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในประชาคมนานาชาติได้อย่างไร
โดยกรณีดังกล่าว “จตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน มองว่า การไปเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกฯมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่ในประเทศไทยทักษิณต้องคดีทุจริตและยอมรับว่าทุจริตจริง รวมถึงยังติดคดีมาตรา 112
“ ดังนั้น ความหมายรัฐบุรุษในสายตาของคนไทยกับสายตาของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นคนละเรื่องกัน และที่สำคัญคือ ศาลอาญายังไม่เคยอนุญาตให้นายทักษิณเดินทางออกนอกประเทศ ในคดี 112” (18 ธ.ค.67)
แต่ประเด็นที่จตุพร มองลึกลงไปมากกว่าการที่ทักษิณ ได้รับตำแหน่งจากผู้นำมาเลเซีย ล่าสุดครั้งนี้ จะนำไปสู่ การ “หาช่อง” เพื่อ “ออกนอกประเทศ” ตามมาหรือไม่ หลังจากวันที่ 3 ม.ค.2568 เป็นต้นไป และอย่าลืมว่าที่ผ่านมา ทนายความส่วนตัวทักษิณ เคยทำเรื่องขอออกนอกประเทศมาแล้วหลายครั้ง แต่ศาลไม่เคยให้ไฟเขียว
สำหรับทักษิณ แล้ววันนี้การได้อยู่ในแสงสปอร์ตไลต์ ด้านหนึ่งย่อมทำให้เขาเองกลับมาทวงคะแนนนิยม สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกพรรค แต่อีกด้านหนึ่ง ยิ่งอยู่ในแสงมากเท่าใด ยิ่งตกเป็นเป้าโจมตี กลางแจ้งมากขึ้นเท่านั้น !