จังหวะก้าวของ พรรคเพื่อไทย ดูเหมือนจะอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า ถอย มากกว่าที่จะเป็นฝ่าย รุก แถมยังไม่ใช่การถอยตามปกติ แต่เป็นการ ถอยร่น อีกต่างหาก
เมื่อการผลักดัน ร่างพ.ร.บ.กลาโหม โดยพรรคเพื่อไทย ถูกต้านอย่างหนัก โดยเฉพาะ พรรคร่วมรัฐบาล ที่พากันตีกรรเชียงหนี จ้าละหวั่น เพราะไม่ใช่เรื่องยากที่จะประเมินว่า โอกาสที่จะได้เห็นร่างกฎหมาย สกัดรัฐประหาร ซึ่งเป็นเหมือน จุดตาย สำหรับผู้มีอิทธิพลเหนือพรรคเพื่อไทย คือ ตระกูลชินวัตร
งานไม่เพียงแต่ ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวเรือใหญ่ที่โยนหินลงมาถามทาง ยังถูก แกนนำพรรคเพื่อไทย ด้วยกันเองหนีพัลวัน กลายเป็นว่า ประยุทธ์ คล้ายกับถูกโดดเดี่ยว เมื่อไม่ใช่เฉพาะพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันที่ ชิ่งหนี แต่มีความเคลื่อนไหวว่าในพรรคเพื่อไทยยังต้องคุยกันก่อน
อย่าลืมว่า การผลักดันร่างพ.ร.บ.กลาโหม ให้อำนาจครม.และนายกรัฐมนตรี ในการโยกย้าย นายพล และนายทหารระดับสูงที่เกี่ยวข้อง และมีส่วนต่อการทำรัฐประหาร แน่นอนว่าเรื่องนี้ทุกคนรู้ว่า กองทัพ ที่แม้จะอยู่ในความสงบ แต่อาจไม่ได้ นิ่ง หาก ฝ่ายการเมือง คิด ขยับ คิดค้นร่างกฎหมายขึ้นมาแล้วส่งผลกระทบต่อคนในกองทัพ
การถอยร่นของพรรคเพื่อไทย ในห้วง 1-2 วัน ที่ปรากฏชัดเจนเช่นนี้ คือคำตอบที่กำลังสะท้อนให้เห็นว่า แท้จริงแล้ว ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลนั้น เพื่อไทย มีอิทธิพล มีบทบาทเหนือพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง หรือแท้จริงแล้ว พรรคเพื่อไทย อยู่ใน วงล้อม ของปีก ขั้วอำนาจเก่า เปิดโอกาสให้ พรรคเพื่อไทยและ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เล่นอยู่ในบท และในกรอบ ที่ไฟเขียวให้เท่านั้น !
การเดินสายของอดีตนายกฯทักษิณ ไปช่วยผู้สมัครที่สวมเสื้อพรรคเพื่อไทย หาเสียงชิงนายกอบจ. ทั้งที่อุดรธานี และล่าสุดคือที่อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.67 ที่ผ่านมา คือบทบาทที่ ผู้นำ ต้องแสดง เพื่อปลุกขวัญลูกพรรค ช่วงชิงพื้นที่สื่อ ไปพร้อมๆกับการ สกัด ไม่ให้ พรรคสีส้ม เติบโต
หมายความว่า รัฐประหาร ที่แม้วันนี้ยังเป็นข่าวลือและมีการปลุกระแสกันขึ้นมาเป็นระยะๆ คงตามหลอกหลอน ไม่จบไม่สิ้น ส่วนจะเป็นจริงขึ้นมาได้หรือไม่ ก็ล้วนแล้วแต่ทำให้สถานการณ์ของทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ยิ่งห่างไกล เสถียรภาพ มากขึ้นทุกที !