ยิ่งนับวัน ยิ่งดูเหมือนว่าสถานการณ์ทางการเมืองสำหรับ “พรรคเพื่อไทย” ไม่ได้อยู่ในองศาที่น่าวางใจได้มากนัก เพราะหลายสิ่ง หลายอย่าง นอกจากจะไม่เป็นใจแล้ว ยังพบว่า แผนการเมืองมีอันต้องสะดุด ถูก “ขวาง” ทั้งแรงต้านจาก “ภายนอก” รวมถึง “พรรคร่วมรัฐบาล” ด้วยกันเอง ครั้งแล้ว ครั้งเล่า !


 คลื่นลม จากภายนอก เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ และยังคล้ายกับว่า “มาเร็วกว่ากำหนด” ด้วยซ้ำ เมื่อ “สนธิ ลิ้มทองกุล” อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เปิดเกมรุกส่งท้ายปีเก่า ไม่รอให้ถึงปีหน้า


 อย่าลืมว่า สนธิ คือศัตรูเก่า ที่เคยจัดมวลชนออกมาขับไล่รัฐบาล ในมือของ  “ทักษิณ ชินวัตร”อดีตนายกฯมาแล้ว จนทำให้เกิดม็อบคนเสื้อเหลือง นำมาสู่การยึดอำนาจตามมาในปี 2549 แน่นอนว่าบทเรียนในอดีตครั้งนั้น ที่เคยเกิดขึ้นกับทักษิณ  ในวันนั้น ทั้งตัวเขาเองและพรรคเพื่อไทย คงเข็ดขยาดไม่อยากเห็น ให้เกิดซ้ำขึ้นมาอีก 
 โดยเฉพาะในวันนี้ เมื่อนายกฯคนที่ 31 ชื่อ “แพทองธาร ชินวัตร” ลูกสาวของทักษิณ เอง ความวิตกกังวลและอาการหวาดผวาย่อมมากกว่าหลายเท่านัก 
 

ขณะที่มวลชนคนเสื้อเหลือง กำลังเริ่มนับหนึ่ง อยู่บนท้องถนน ปรากฏว่า เมื่อมองกลับมาที่ภายใน “รัฐบาล” ด้วยกันเองก็กลับพบว่า “แรงต้าน” จากพรรคร่วมรัฐบาลที่ลงเรือลำเดียวกันกับพรรคเพื่อไทย เกิด “ความเห็นต่าง” ในแทบทุกเรื่อง ทุกประเด็น จนยากที่พรรคเพื่อไทยจะผลักดันหรือเดินหน้านโยบายตามที่หาเสียงเอาไว้ได้ 


 หรือแม้แต่การสร้างเกราะกำบัง เพื่อ “สกัด” การยึดอำนาจ “รัฐประหาร” ที่เป็นเหมือนปีศาจตามหลอกหลอนทุกรัฐบาลในมืออดีตนายกฯทักษิณ เมื่อเกิดแรงกระเพื่อม ไม่เอาด้วยกับการที่พรรคเพื่อไทยชูธงแก้กฎหมายสกัดรัฐประหาร ในชื่อ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม จากเดิมที่พรรคเพื่อไทย หมายมั่นปั้นมือ ว่าจะผลักดันให้กฎหมายฉบับนี้ออกมามีผลได้จริง เพราะสาระหลักของร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว จะให้อำนาจแก่ “ครม.” ให้มีหน้าที่และอำนาจพิจารณาแต่งตั้ง “นายพล” เพื่อสกัดรัฐประหาร 


 ปรากฏว่า พรรคการเมือง ที่ร่วมรัฐบาล โดยที่เคยร่วมครม.กับ รัฐบาลสมัย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พากันออกตัว ประกาศท่าที “ไม่เอาด้วย”  ทั้งพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ  


 ต่างประสานเสียงว่าต่อให้ออกกฎหมายอะไรมา ถ้าจะปฏิวัติ สิ่งที่จะทำอย่างแรกคือการ “ฉีกรัฐธรรมนูญ” ดังนั้นไม่ว่าจะออกกฎเกณฑ์อะไรมา ก็คงไม่มีประโยชน์ เว้นแต่ว่าอย่าทำตัวให้ “เข้าทางปฏิวัติ” เท่านั้นเป็นพอ 


 สถานการณ์ทางการเมือง สำหรับพรรคเพื่อไทยที่ต้องเชื่อมโยงกับ ทักษิณ ดูจะแยกกันไม่ออก และเมื่อใดที่เข้าใกล้ “คิลลิ่งโซน” เชื่อเถอะว่า เพื่อไทยจะถูกโดดเดี่ยวอยู่เพียงพรรคเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมองไปที่ “ศัตรูเก่า-ศัตรใหม่” ก็ล้วนแล้วแต่เป็นศัตรู ของทักษิณ เพียงคนเดียวเท่านั้น !