คอลัมน์ ทางเสือผ่าน
สมบัติ ภู่กาญจน์
ความตอนที่แล้ว จบลงตรงข้อความที่ว่าแต่ในใจของคนไทยนั้น พระมหากษัตริย์ก็ยังเป็นของสูงเทียบเท่าพระผู้เป็นเจ้า ยิ่งในปัจจุบันความรู้สึกนั้นก็ยังแข็งแกร่งอยู่ ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าองค์พระมหากษัตริย์จะต้องทรงทำองค์อย่างไร เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปต่อไปนี้ จะเป็นความเห็นที่ต่อเนื่องมา
“ คือพระมหากษัตริย์จะต้องเป็นทั้งพระเป็นเจ้า และเป็นทั้งมนุษย์ ซึ่งต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย คือรัฐธรรมนูญ จึงเป็นพระราชภาระของพระมหากษัตริย์ที่จะต้องทรงวินิจฉัย ว่า Ratio ระหว่างความเป็นพระเป็นเจ้า กับความเป็นมนุษย์จะต้องอยู่ในอัตราใด? จะเป็นพระเป็นเจ้ามากเป็นมนุษย์น้อย หรือเป็นมนุษย์มากเป็นพระเป็นเจ้าน้อย ก็ต้องกำหนดRatioให้ถูก ถ้าRatioนั้นพลาดไปแล้วจะเกิดความเสียหายมากมายหลายประการ
การที่สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยยังคงแข็งแรงอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ก็เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลนี้ ทรงกำหนด Ratio นั้นถูกตั้งแต่แรก นับตั้งแต่ขึ้นมาเสวยราชย์ ปัญหาใหญ่ๆที่ควรจะเกิด จึงไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย
คือเป็นเทวดามากไป ก็ไม่ดีแน่ หรือเป็นมนุษย์มากไปก็ใช่ว่าจะดีอีกเหมือนกัน จะต้องได้สัดส่วนกัน ประโยชน์จึงจะเกิดต่อทุกฝ่ายได้สืบไป นอกจากนั้นแล้ว ยังมีปัญหาอีกมากมากมายหลายอย่าง ซึ่งอยู่ในพระราชหฤทัยในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบการปกครองในปัจจุบัน ปัญหาเหล่านี้อาจไม่ถึงเป็น Conflict ในภาษาอังกฤษ แต่ก็จะต้องเป็น Contradiction อย่างหนึ่ง ซึ่งมีท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท่านแปลว่า ‘กฤติกาล’เกิดขึ้นแน่ ในพระราชหฤทัยของผู้เป็นพระมหากษัตริย์ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่จะต้องทรงแก้ เป็นเรื่องที่จะต้องทรงปูแนวทาง เพื่อให้ทางที่จะเสด็จพระราชดำเนินต่อไปให้ถึงที่หมายโดยไม่ก่อให้เกิดผลเสียหายต่อใคร”
ขออนุญาตเว้นวรรค เพื่อตอกย้ำครับ ว่านี่คือความเห็นของคนไทยในอดีตชื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ได้กล่าวปาฐกถาไว้ตั้งแต่เมื่อประมาณช่วงทศวรรษแห่งปี พ.ศ.2520 ซึ่งคนไทยในปัจจุบันอีกหลายคนอาจจะยังไม่เคยอ่าน ผมจึงอยากนำมาเสนอไว้ในโอกาสปัจจุบัน ในทรรศนะที่น่าสนใจของอาจารย์คึกฤทธิ์ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจต่อไปอีกดังนี้
“ ผมเองอยากกล่าวว่า ที่พูดมานี้ไม่ใช่ความรู้พิเศษอย่างหนึ่งอย่างใด แต่เป็นสิ่งที่ผมคิดโดยอนุมานจากเท่าที่ได้เคยติดตามเป็นข้าในพระองค์ของพระมหากษัตริย์ตลอดมาจนถึงบัดนี้ ผมบอกได้ว่าวิธีคิด หรือเครื่องมือที่ทรงใช้ในการแก้ปัญหากฤติกาล หรือ Contradiction ต่างๆในเหตุการณ์เช่นนี้ เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงใช้ ‘ราชธรรม’ซึ่งมีอยู่ในพุทธศาสนาเป็นหลักการอันสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ที่ต้องมีราชประเพณีต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ ดังเช่นแม้แต่จะ ‘ทรงเครื่องใหญ่’ หรือที่แปลเป็นภาษาคนธรรมดาสามัญว่า ‘ตัดผม’ ซึ่งราชประเพณีก็จะต้องทำเป็นพิธีใหญ่โตเสียเวลามากมาย ก็ทรงใช้ธรรมะเรื่อง ขันติ คือความอดทน แก้ไขปัญหาทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา
พูดถึงเรื่องนี้ผมจึงอยากเรียนว่า ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสให้คนไทยทุกคนมีความอดทนและอดออม นั้น ทั้งหมดเป็นธรรมะ ซึ่งทรงปฏิบัติด้วยพระองค์เองมาแทบทุกอย่างแล้ว จึงอยากให้ราษฎรของพระองค์ได้ทรงตระหนักในธรรมะเหล่านั้นบ้าง และในราชธรรมของศาสนาพุทธที่ทรงใช้ก็มิได้มีเพียงอย่างเดียว แต่มีทั้งทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร สังคหวัตถุ และธรรมะอื่นๆอีกสารพัดสารพัน
ทศพิธราชธรรมนั้น ท่านทั้งหลายก็คงทราบดีกันแล้วว่า มีศีล ทาน จาคะคือการเสียสละ มีอาชวะอันหมายถึงความซื่อตรง ทั้งหมดนี้มีอยู่ครบถ้วนในพระองค์ ที่ผมสามารถท้าให้พิสูจน์ได้ ใครที่เคยได้เข้าไปใกล้ชิด ได้เคยเห็นพระราชกรณียกิจ หรือได้เคยมีพระราชดำรัสด้วย จะต้องรู้สึกและทราบดีถึงสิ่งเหล่านี้
ผมอยากจะพูดว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชสมภพมาในทศพิธราชธรรมตั้งแต่แรก โดยไม่ต้องทรงดัดแปลงหรือต้องข่มพระทัยให้อยู่ในทศพิธราชธรรมเลย ทุกอย่างเป็นไปโดยธรรมชาติของพระองค์เอง ธรรมะเหล่านี้มีความสำคัญในตัวเองอยู่แล้ว และเมื่อถูกนำมาใช้ในทางที่เหมาะสมจึงส่งผลให้สถานการณ์ต่างๆนานาล้วนเป็นไปแต่ในแนวทางที่ดีขึ้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
สถาบันพระมหากษัตริย์ในปัจจุบัน เป็นสถาบันที่ไม่มีอำนาจในทางการเมืองแต่อย่างใด แต่ในหัวใจคนไทยแล้ว สถาบันนี้เป็นสถาบันที่สูงสุดและมีความศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ยังหวงที่สุดและเทิดทูนที่สุดเสมอมา เมื่อสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะเช่นนี้ และการใช้พระราชอำนาจในทางที่จะก่อความเดือดร้อนให้แก่ใครก็ไม่เคยมีขึ้น รวมกับการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่พระองค์นี้ ก็ทรงปฏิบัติราชธรรมอย่างเต็มที่ ทรงเกื้อกูลประโยชน์ของประชาชนด้วยพระคุณและพระราโชบายต่างๆด้วยความเสียสละและเหนื่อยยากนานัปการ ดังเช่น โครงการพระราชดำริหลายอย่างก็เริ่มด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทั้งสิ้น บางโครงการเมื่อมองเห็นผลดีผลสำเร็จแล้ว ก็ทรงยินดีส่งมอบให้ราชการทำต่อไป บางโครงการไม่เห็นผลสำเร็จก็ทรงเลิก มิได้ถือทิฐิมานะว่าเมื่อทรงทำแล้วต้องทำต่อไปโดยตลอด นี่คือสิ่งที่ผมได้ประสบพบเห็นเรื่อยมา....”
ปาฐกถาที่มีอายุเกือบ 40 ปีชิ้นนี้ยังไม่จบ แต่ ณ ขณะที่พูด เรื่องราวเหล่านี้ ในสังคมไทยและในเวทีสื่อสารมวลชนของไทยในยุคนั้น ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึงกันมากนัก แตกต่างกับที่เป็นอยู่ในยุคต่อๆมา ขณะที่โครงการต่างๆ ที่ทรงเริ่มไว้ไม่น้อยแล้วตั้งแต่ยุคนั้น ก็ยังคงเติบโตมาเรื่อยๆ จนกระทั่งผู้แสดงปาฐกถาตายไปแล้ว โครงการพระราชดำริหลายโครงการ ก็ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ดังที่เราได้พบเห็นและได้ยินได้ฟังอยู่ในปัจจุบัน
ในท้ายของปาฐกถาชิ้นนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ยังมีสิ่งที่ผู้พูดเรียกว่า “พระราชกฤษดาภินิหาร ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ” มาเล่าไว้ให้คนฟังอีกหลายเรื่อง เรื่องเหล่านี้คือการบอกกล่าวสิ่งที่สาธารณชนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะรับรู้ให้ได้ยินได้ฟังอย่างจริงจังกันเป็นครั้งแรก จะมีเรื่องอะไรที่น่าฟังอย่างไรแค่ไหน? ผู้สนใจขอเชิญติดตามรับฟังกันต่อไปในสัปดาห์หน้า