และแล้ว พรรคเพื่อไทย ก็ฝ่าแรงต้านจนสำเร็จ ลุล่วง ! ด้วยสามารถดันชื่อ กิตติรัตน์ ณ ระนอง แกนนำพรรค เข้าไปนั่งเก้าอี้ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ได้ฉลุย ! 
 แม้ก่อนหน้านี้ ม็อบคปท.และแนวร่วม จะพากันไปยื่นหนังสือคัดค้านชื่อกิตติรัตน์ กันถึง 2รอบ สกัด บวกกับกลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ออกแถลงการณ์ด้วยกันถึง 3 ฉบับ แสดงความห่วงใย ว่า การเมือง จะแทรกแซงและครอบงำ การบริหารงานของ ธนาคารกลาง ประเทศ อย่าง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยที่ในกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ ยังปรากฏชื่อ 4 อดีตผู้ว่าฯแบงก์ชาติ ก็ตามที 


 แต่ในที่สุด เมื่อวันที่ 11 พ.ย.67 ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งมี สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ เป็นประธานสรรหา ใช้เวลายาวนานกว่า 5 ชั่วโมง ก่อนลงมติเป็นเอกฉันท์ เลือก กิตติรัตน์ นั่งในเก้าอี้ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ คนที่ 5 โดยการเสนอชื่อของกระทรวงการคลัง 


 แน่นอนว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ประชุมกรรมการคัดเลือกฯได้เลื่อนจากวันที่ 4 พ.ย.ออกไป ในท่ามกลางเสียงต่อต้าน ไม่เอา กิตติรัตน์ ทั้งนอกรั้ว และจากคนในแบงก์ชาติเอง จนทำให้พรรคเพื่อไทย เปลี่ยนแผน คล้ายกับ ยอมถอย แล้วโยนชื่อ พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา นัยว่า ไม่ดึงดัน ไม่ฝ่าแรงต้าน เลือกลดความสุ่มเสี่ยง 


 ทว่าเมื่อผ่านพ้นไปเพียงสัปดาห์เดียว การประชุมเปิดฉากขึ้น ในวันที่ 11 พ.ย.ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทย เล่น ขยับ สองต่อในคราวเดียวกัน หนึ่งคือดันชื่อกิตติรัตน์ จนได้เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ 


 และ สอง คือการดันชื่อ พงศ์ภานุ เข้าไปนั่งใน บอร์ดแบงก์ชาติชุดใหม่ได้อีกต่างหาก โดยในชุดนี้กรรมการใหม่ 2 รายชื่อ พงศ์ภานุ และ ชุณหจิต สังข์ใหม่ ซึ่งเข้าไปแทน  นนทิกร กาญจนะจิตรา และ มนัส แจ่มเวหา  ที่หมดวาระลง 


 ฉากแรกเท่ากับว่าพรรคเพื่อไทย ทำสำเร็จเมื่อชื่อกิตติรัตน์ นั่งประธานบอร์ดแบงก์ได้สำเร็จ  ฝ่าแรงต้านผ่านพ้น  แต่อย่าลืมว่า เกมนี้อาจจะยังไม่จบ เมื่อล่าสุด ทนายเชาว์ มีขวด ทนายความ ออกมาระบุว่า กิตติรัตน์ ขาดคุณสมบัติ 


 โดยทนายเชาว์ ระบุว่า ใครก็ตามที่ลงคะแนนให้กิตติรัตน์ นั่งเก้าอี้ตัวนี้ เตรียมสู้คดีในชั้นศาล ที่อาจต้องจบที่เรือนจำ
   

ที่พูดแบบนี้ก็เพราะ ระเบียบว่าด้วยการประชุมของคณะกรรมการคัดเลือก การเสนอชื่อ การพิจารณาและการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานกรรมการหรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2551 กำหนดไว้ชัดเจนในหมวดที่ 2 การเสนอชื่อ การพิจารณาและการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ไว้ในข้อ 16 (4) ว่า ต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี 
 น่าสนใจว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ และอาจมีภาคต่อ ไม่ง่ายอย่างที่คิด !