รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์

ที่ปรึกษาอธิการบดีมหาวิทยาลัยสวนดุสิต

การเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา 2024 เป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งที่ 60 มีผู้เสนอตัวเข้าชิงชัยเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 จำนวน 4 คน ไล่เลียงตั้งแต่ Karmala Harris – Democratic Party, Donald Trump – Republican Party, Jill Stein – Green Party และ Chase Oliven – Libertarian Party แต่คู่แข่งที่ ไล่บี้กันอย่างดุเดือดสุดๆจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Harris กับ Trump

เมื่อพิจารณาจากผลโพลที่เผยแพร่ออกมาก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้งอีกไม่กี่วันและไม่กี่ชั่วโมงเล่นเอาแฟนคลับของฝั่ง “น้ำเงิน” (เดโมแครต) กับ “แดง” (รีพับลีกัน) ต่างพากันนั่งก้นไม่ติด เพราะคะแนนผลโพลบนรัฐสมรภูมิ (Battleground State) โดยเฉพาะที่รัฐเพนซิลวาเนียโชว์ว่า “Extremely Close Contest” ถ้ามองแบบเหมารวมคู่แข่งทั้งสองต่างก็ได้คะแนนเท่ากันอย่างเหลือเชื่อจนสื่อบางสำนักกล่าวว่า “No Clear Leader” สะท้อนว่าคนอเมริกันวันนี้รวมถึงสื่อและสำนักโพลด้วยแตกแยกเป็นเสี่ยง 2 ขั้วอย่างสุดติ่ง และเชื่อว่าคงใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่จะหลอมรวมใจคนอเมริกันให้เป็น “One Unity” อีกครั้ง

อังคารที่ 5 พ.ย. นี้ นับเป็นวัน (เกือบ) ตัดเชือกว่าใครจะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ ซึ่งไม่ใช่แค่อเมริกันชนจะลุ้นสุดตัวแต่รวมถึงคนทั้งโลกด้วย เพราะนอกเหนือจากผลโพลที่หายใจรดต้นคอกันมาติด ๆ แล้ว ทั้ง  2 ฝ่ายต่างใช้ “ภาษา” และ “สี” เป็นเครื่องมือ/อาวุธเชือดเฉือนแก้เกมระหว่างกันอย่างเข้มข้นและทรงพลัง การใช้สโลแกนดึง “Voter” ของทั้งสองฝ่ายให้ความรู้สึกทั้งปลุกพลังอุดมการณ์ภายใน กระตุ้นหัวใจ เร้าใจ และกระทุ้งอารมณ์คนอเมริกัน รวมถึงคนเชียร์ที่มิใช่พลเมืองอเมริกันด้วย ตัวอย่างสโลแกนของฝั่งน้ำเงิน “Trump fights for Trump Karmala fights for you” และตัวอย่างของฝั่งแดง “Karmala broke it Trump fixed it” ฯลฯ

 7 รัฐสมรภูมิที่เป็นรัฐที่สวิงประกอบด้วยรัฐแอริโซนา จอร์เจีย มิชิแกน เนวาดา นอร์ทแคโรไรนา เพนซิลวาเนีย และวิสคอนซิล ส่วนรัฐ Top Electroral College Vote 2024 ได้แก่ แคลิฟอร์เนีย 54 เสียง เท็กซัส 40 ฟลอริดา 30 นิวยอร์ก 28 อิลลินอยส์ 19 และเพนซิลวาเนีย 19 นี่คือเหตุผลสำคัญว่าทำไม? รัฐเพนซิลเวเนีย !!! เป็นพื้นที่สมรภูมิที่ดุเดือดสูงที่สุดของการสู้ชิง “ใจคนเลือกตั้ง”ระหว่างเดโมแครตกับรีพับลิกัน

เมื่อหันมาส่องอุดมการณ์หรือจุดยืนระหว่างพรรคเดโมแครตกับพรรครีพับลิกัน จะเห็นว่าพรรคเดโมแครตเป็นพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์แบบเสรีนิยม แนวนโยบายและประเด็นทางการเมืองของพรรคพยายามส่งเสริมสิทธิพลเมือง ผลักดันให้มี “โครงข่ายการคุ้มครองทางสังคม” (Social Safety Net) วางมาตรการแก้ไขหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และสนับสนุนการทำแท้ง

ส่วนพรรครีพับลิกันเป็นพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์แบบอนุรักษ์นิยม เนื่องจากมีความเป็นมายาวนานในประวัติศาสตร์จนถูกเรียกขานกันทั่วไปว่า “พรรคเก่าที่ยิ่งใหญ่” (Grand Old Party – GOP) ปัจจุบันพรรครีพับลิกันมีนโยบายลดอัตราการเก็บภาษี ปรับลดขนาดองค์กรของรัฐบาล ส่งเสริมสิทธิการถือครองปืน รวมทั้งเตรียมวางมาตรการที่เข้มงวดขึ้นต่อการตรวจคนเข้าเมืองและการทำแท้ง

สถิติข้อมูลเกี่ยวกับอายุของผู้ได้รับเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา พบว่าจอห์น เอฟ. เคเนดี พรรคเดโมแครต ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 35 ที่อายุน้อยที่สุด คือ 43 ปี ในปี 1960 และ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตเช่นกัน ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ที่มีอายุมากที่สุด คือ 78 ปี เมื่อปี 2020

หากแฮร์ริสได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีนี้ก็จะสร้างประวัติใหม่ให้กับสหรัฐอเมริกาในฐานะสตรีผิวสีคนแรก (First woman & First woman of color) ที่ได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของประเทศ แต่ถ้าทรัมป์ได้รับเลือกก็จะกลายเป็นประธานาธิบดีเทอมที่ 2 แบบไม่ต่อเนื่องที่มีอายุมากที่สุด 78 ปี เท่ากับตอนที่ไบเดนได้รับเลือกเข้ามาเหมือนกัน  

ไม่ว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 จะตกเป็นของพรรคใดก็ตาม อเมริกันชนและคนทั่วโลกต่างต้องได้รับผลกระทบไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่งอย่างแน่นอนไล่เลียงตั้งแต่โลก ภูมิภาค ท้องถิ่น ชุมชน รัฐบาล และปัจเจก เพราะทุก ๆ ประเด็นต่างเชื่อมโยงพันเกี่ยวเป็นเกลียวและปมที่ยุ่งเหยิงซับซ้อนทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ทหาร และภูมิศาสตร์ รวมถึงความรุนแรงหรือสงครามในรูปใหม่ ๆ ในอนาคต... จงเตรียมพร้อม รับมือ และบริหารความสัมพันธ์ที่สมดุลหลังจากโลกได้ผู้นำโลกคนใหม่กันครับ !!!

 

*หมายเหตุ บทความนี้ส่งต้นฉบับ อังคารที่ 5 พ.ย.67