นอกจากปัญหากู้ซื้อบ้านแล้วต้องจ่ายดอกเบี้ยสูง ทำให้ยากที่จะได้เป็นเจ้าของ ผ่อนไม่ไหวต้องถูกฟ้องร้องขายทอดตลาด
แม้ก่อนหน้านี้ มื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2567 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 2.50% ต่อปี เหลือ 2.25% ต่อปี เพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้กับประชาชน ทำให้ธนาคารต่างๆทยอยปรับลดดอกเบี้ยลงมา ที่ทำให้คนกู้ซื้อบ้านได้รับอานิสสงส์ไปด้วย แต่แนวโน้มสัญญาณจากธนาคารแห่งประเทศไทยก็ไม่ได้มีทิศทางที่จะลดลงอีก
แต่นอกจากปัญหาเรื่องดอกเบี้ยบ้านแพงแล้ว อีกมุมหนึ่งก็คือราคาบ้านที่สูงอยู่แล้ว สิ่งที่ไม่เคยได้คำนึงถึงกันก็คือ เหตุใดราคาบ้านจัดสรรถึงมีราคาแพง นอกจากปัจจัยเรื่องราคาที่ดิน ทำเลและวัสดุแล้ว มีเรื่องชวนให้คิด จากข้อเขียนของ ดร. มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ในบทความที่เผยแพร่ผ่านทางเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว “มานะ นิมิตรมงคล” เรื่อง บ้านแพงเพราะคอร์รัปชัน: ทำไม.. ประชาชนต้องรับกรรม
โดยบางช่วงบางตอนของบทความ ดร.มานะ ได้ตีแผ่ปัญหาที่คนทำหมู่บ้านจัดสรรต้องเจอ คือถูกเจ้าหน้าที่รัฐเรียกสินบนแลกกับการออกใบอนุญาตทุกขั้นตอนตั้งแต่ก่อนเริ่มโครงการจนขายโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้า แต่ผู้ประกอบการในจังหวัดสมุทรปราการและชลบุรีพากันโอดครวญว่า พวกเขาถูกรีดไถโหดกว่าทุกจังหวัดในประเทศไทยเพราะบ้านใหญ่นักการเมือง
“เราต้องจ่ายสินบนเป็นเงินเฉลี่ยหลังละ 50,000 บาท แล้วยังต้องจ่ายให้เจ้าหน้าที่สารพัดหน่วยที่มาตรวจตราระหว่างการก่อสร้างอีก ต้นทุนก้อนนี้ต้องบวกเป็นราคาขายทำให้ประชาชนต้องซื้อบ้านแพงขึ้น” กลุ่มนักธุรกิจหมู่บ้านจัดสรรให้ข้อมูลสอดคล้องกัน”
เมื่อถามว่า ทำไมอัตราสินบนที่นี่จึงแพงมาก เทียบกับผู้ประกอบการรายใหญ่ต้องจ่ายใน กทม. (CAC/IOD, 2562) หรือแม้แต่จังหวัดที่เศรษฐกิจดีอย่างเช่น ระยอง ปทุมธานี ราชบุรี
คำตอบคือ เพราะที่นี่มีบ้านใหญ่นักการเมือง คอยจัดการและคุ้มครองกันหากเกิดปัญหา ส่วนข้าราชการในพื้นที่ก็อ่านเกมกินตามน้ำอย่างฮึกเหิมไม่กลัวใคร การรีดไถที่นี่จึงแพงโหดกว่าจังหวัดอื่น”
ดร.มานะยังเปิดเผยรายการสินบนที่นักธุรกิจบ้านจัดสรรต้องจ่าย ท่านผู้อ่านสามารถไปติดตามรายละเอียดในเพจเฟซบุ๊กของ ดร.มานะ ชื่อ มานะ นิมิตรมงคล หรืออ่านได้ในเว็บไซต์สยามรัฐ https://siamrath.co.th/n/576756
ทั้งนี้ทั้งนั้น ประเทศไทยเรามีอดีตนายกรัฐมนตรี ที่มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คือนายเศรษฐา ทวีสิน รวมทั้งตระกูลชินวัตร ก็มีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่ด้วย จึงน่าจะเข้าใจปัญหาและน่าจะถือโอกาสในตอนที่มีอำนาจอยู่นี้สะสางปัญหาคอร์รัปชันในวงการนี้ให้สิ้นซาก