ทีมข่าวคิดลึก คำปาฐกถาของ"บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในงานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (JFCCT) ที่โรงแรมแชงกรีลา เมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้สะท้อนให้เห็นด้วยกันในแง่มุมที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งนั่นคือความชัดเจนในช่วงของการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ไปสู่การเป็นประชาธิปไตย ตามโรดแมป ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้วางไว้ อีกทั้งยังได้ยืนยันในงานโดยขอให้ทุกคนไม่ต้องกังวลกับสถานการณ์ของไทย เพราะทุกอย่างยังคงมีเสถียรภาพเช่นเดิมทุกด้าน และใช้เวลาอีกไม่นานนัก เราก็จะมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่รวมทั้งย้ำว่า อย่ามองว่าตัวเขานั้นเป็น "ตัวอุปสรรค" แต่เข้ามาเพื่อขจัดปัญหา ไม่ใช่เพื่อต้องการ "ทำลายล้างใคร" "ถึงเวลาก็มีคนมาทำอยู่แล้ว ผมพูดด้วยใจ ไม่มุ่งหวังอะไรเลย ไม่ได้มุ่งหวังเป็นอะไร ไม่ได้ต้องการชื่อเสียง แต่ต้องการให้ไทยสงบสุข ผมแก่แล้ว ตั้งใจจะไปเที่ยว แต่สถานการณ์แบบนี้ไปไหนไม่ได้" ประเทศไทยในยามนี้กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการสูญเสีย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทำให้คนไทยทั้งชาติอยู่ในช่วงโศกเศร้าไว้ทุกข์กันทั้งประเทศ แต่ถึงกระนั้น พล.อ.ประยุทธ์ เองในฐานะผู้นำรัฐบาลและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ตระหนักดีว่าภารกิจที่สำคัญยังต้องเดินหน้าไปพร้อมกันด้วยกันหลายด้าน ในฐานะหัวหน้า คสช. ต้องรักษาความสงบในบ้านเมืองเพื่อให้ทุกอย่างราบรื่นในช่วงของการเปลี่ยน ผ่านรัชสมัยควบคู่ไปกับการดำเนินการเอาผิดอย่างจริงจังและเด็ดขาดกับกลุ่มบุคคลที่ทำความผิดตามมาตรา 112 ทั้งในและต่างประเทศ โดยประสานไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันในฐานะผู้นำรัฐบาลเอง พล.อ.ประยุทธ์ รู้ดีว่าปัญหาปากท้องปัญหาเศรษฐกิจที่ซบเซามาเนิ่นนาน ย่อมส่งผลกระทบต่อประชาชน มากกว่าเรื่องราวทางการเมืองด้วยซ้ำ ดังนั้นการ ตัดสินใจออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มรายได้ ให้กับประชาชน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ จึงได้รับไฟเขียวจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าในการประชุมครม. นัดต่อไป พล.อ.ประยุทธ์ อาจต้องสวมบท "ซานตาคลอส" แจกของขวัญปีใหม่ ให้กับประชาชนด้วยมาตรการต่างๆ ตามมาอีกแน่นอนเพื่อกระตุ้นตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี อย่างไรก็ตามเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในจุดโฟกัสด้วยสถานะต่างๆ ที่เขากุมบังเหียนอยู่นั้น สิ่งที่เขาเองและ คสช.ต้องการจากประชาชน เพื่อผลักดันให้ทุกอย่างสามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่น จึงอยู่ที่ความเชื่อมั่น ทั้งในและต่างประเทศ นอกเหนือไปจากการใช้อำนาจ "มาตรา 44" ที่มีอยู่ในมือ ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ย่อมรู้ดีว่าในช่วงที่บ้านเมืองก้าวสู่ระยะของการเปลี่ยนผ่านนั้น การดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในทุกแนวรบถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งปัญหา และความวุ่นวายทางการเมืองนั้นไม่จำเป็นต้องเปิดหน้าลงมาขับไล่กันบนท้องถนน หากแต่การใช้ปฏิบัติการต่อสู้กันทางโลกออนไลน์เพื่อยั่วยุ ปลุกปั่น สร้างความเข้าใจที่บิดเบือน จงใจเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จและล่อแหลมต่างหาก คือสถานการณ์ที่เปราะบาง ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องหาทางคุมให้อยู่หมัด !