หลังการรับประทานอาหาร “พรรคร่วมรัฐบาล” เมื่อค่ำคืนวันที่ 21 ต.ค.67 ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าท่าทีของ “แกนนำ” พรรคร่วมรัฐบาล มีความชัดเจนออกมาในทิศทางเดียวกัน ต่อการครอบงำและการครอบครอง อันจะมีผลต่อการตัดสินใจ ก่อนเคาะ “นายกฯคนที่31” นั้นห่างไกล จากคำว่า “ความสัมพันธ์” อันดีระหว่างกัน
ทั้ง “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯและรมว.มหาดไทย และ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชาติ ต่างย้ำว่าไม่มีใครครอบงำใครได้ เพราะในความเป็นจริงแล้วทุกพรรคในรัฐบาล ต่างต้องพูดคุยกันอยู่แล้ว เป็นปกติ
แน่นอนว่าการนัดหมายรับประทานอาหาร ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล โดยมี “พรรคเพื่อไทย” เป็นเจ้าภาพเมื่อคืนวันที่ 21 ต.ค.ที่โรงแรมโรสวูด กรุงเทพฯ อาจเป็นเรื่องยากที่จะพูดในประเด็นที่มีความเปราะบาง ทั้งการผลักดัน ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่จะไม่มีการรวม มาตรา 112 เพราะเรื่องนี้เท่ากับเป็นเหมือน “จุดตาย” ของทุกพรรคการเมือง
เหนืออื่นใดไปมากกว่านั้นคือการที่ต่างคน ต่างรู้ดีว่า แต่ละพรรคมีจุดยืนเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งนอกเหนือไปจากพรรคเพื่อไทยแล้วที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า ต้องการดันคดี มาตรา 112 เอาไว้ในการนิรโทษกรรมเพื่อหวังช่วย “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯที่ยังติดบ่วงคดีนี้อยู่ โดยคดีดังกล่าวยืดเยื้อไปจนถึงปีหน้า 2568
เวลานี้ เหมือนทั้งพรรคเพื่อไทยและ 6 พรรคร่วมรัฐบาล ต่างอยู่ในสถานะที่สุ่มเสี่ยงไม่ต่างกัน จากคำร้องที่ถูกอ้างว่า “บุคคลนิรนาม” ผู้ยื่นคำร้อง โดยอ้างถึงพฤติการณ์ของทักษิณ รวมทั้งการที่แกนนำ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดิมไปร่วมประชุมกับทักษิณ ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ทั้งพรรคเพื่อไทยและ6พรรคร่วมรัฐบาล ต่างลงเรือลำเดียวกันโดยปริยาย เพราะแผนการเล่น เดิมที่เคยวางเอาไว้ ว่า หากพรรคเพื่อไทยหมดแคนดิเดตแล้ว เมื่อพ้นไปจาก “แพทองธาร ชินวัตร” แล้วก็คงไม่มีคนใดจะก้าวขึ้นมาแทน
จากนั้นจึงจะเป็น โอกาสของหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่น ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ หรือแม้แต่พรรคพลังประชารัฐ แต่เมื่อคำร้องดังกล่าว กำลังพาให้ครม.ทั้งหมด พ้นจากที่ล่นเดิม แม้นาทีนี้จะชิ่งจาก ทักษิณ ก็อาจเป็นเรื่องที่สายเกินไป !