รศ.ดร.ไชยา ยิ้มวิไล งวดนี้ขอกลับไปวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดของ “ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 : นายโดนัลด์ ทรัมป์ (DONALD TRUMP)” ที่ประกาศชัดเจนว่าจะ “ยกเลิก” กรณี “ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ-แปซิฟิก (TPP : TRANS PACIFIC PARTNERSHIP)” ที่เริ่มส่ออาการ “เคว้งคว้าง!” ขึ้นมาทันที และได้มีการยุติความพยายามที่จะให้มีการรับรองข้อตกลงดังกล่าวใน “สภาคองเกรส” ภายในสมัยของประธานาธิบดีบารัค โอบามา เนื่องจากนายทรัมป์มองว่า “มันคือหายนะต่อการจ้างงานภายในประเทศ” อย่างไรก็ตาม ความมั่นใจว่า “ทีพีพี” น่าจะล้มหรือไม่นั้น อาจจะไม่ถึงขั้นรุนแรงขนาดนั้นก็ได้ ทั้งนี้ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะ “ตั้งรูปแบบใหม่” หรือ “โมเดลใหม่” ก็เป็นได้ เพียงแต่อาจเปลี่ยนเพียงชื่อเท่านั้น แต่ “เนื้อหาสาระ” อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้างไม่มากก็น้อย แต่ประเด็นสำคัญ “สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก” อาจจะไม่ยอม “ถอยหลัง” แล้ว “ปิดประตูบ้าน” เพื่อสร้างอเมริกาใหม่ เนื่องด้วยปัจจุบันนี้ “โลกาภิวัฒน์” มัน “ไร้พรมแดนมากขึ้น-เร็วขึ้น” อย่างมาก ผมขอย้ำว่า “อเมริกาคงไม่ยอมล้าหลังขนาดนั้น!” ที่จะมัวแต่ทำงานกันภายในบ้านตนเองเท่านั้น! มาดูผลการประชุมเอเปคกันก่อนครับว่าผลประเด็นการประชุมเอเปคที่กรุงลิมาของเปรู เห็นชอบ “เดินหน้าแนวทางการเปิดตลาดและต่อต้านนโยบายกีดกันทุกรูปแบบ” “ที่ประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค)” ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 21 ประเทศ ปิดฉากการหารือประจำปีที่กรุงลิมาของเปรูเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว โดยออกแถลงการณ์ร่วมยืนยันจุดมุ่งหมายที่จะ “ส่งเสริมการเปิดตลาดและต่อต้านนโยบายกีดกันทางการค้าทุกรูปแบบ” ซึ่งรวมถึงการแทรกแซงค่าเงินและอัตราแลกเปลี่ยน โดยที่ประชุมยังให้คำมั่นจะดำเนินตามแผนความตกลงปารีสตามเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อชะลอการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ถ้อยแถลงระบุถึงการเติบโตของกลุ่มแนวคิดที่กังขาต่อแนวทางการค้าเสรี ท่ามกลางสภาวะทางเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆ และไม่แน่นอนจากวิกฤตการเงินเมื่อปี 2551 โดยระบุว่า เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่้ต้องมีการสื่อสารในวงกว้างเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่จะเกิดจากการค้าและการเปิดตลาด โดยเฉพาะการนำไปสู่พัฒนาการทางด้านนวัตกรรม การจ้างงาน และการยกระดับมาตรฐานการครองชีพ ประธานาธิบดีเปโดร ปาโบล คุชซินสกี ผู้นำเปรูผู้ทำหน้าที่เจ้าภาพการประชุมครั้งนี้ กล่าวว่า อุปสรรคสำคัญของการเดินหน้าข้อตกลงการค้าเสรีทั้งในเอเชียและทั่วโลก คือ “การต่อต้านจากกลุ่มที่ก้าวไม่ทันโลกาภิวัฒน์-นโยบายกีดกันทางการค้า” คือภาพสะท้อนของสภาพเศรษฐกิจที่ยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นการลงมติเบร็กซิตให้อังกฤษออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) หรือชัยชนะของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ล้วนแสดงถึงการโต้กลับต่อโลกาภิวัฒน์จากพื้นที่ที่รุ่งเรืองจากอุตสาหกรรมในอดีตทั้งในสหรัฐและอังกฤษ ซึ่งสวนทางกับการสนับสนุนด้านการค้าในพื้นที่เมืองและประเทศกำลังพัฒนา  ทั้งนี้ การประชุมเอเปคครั้งนี้นับเป็นการประชุมในเวทีระหว่างประเทศครั้งสุดท้ายของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐที่้จะหมดวาระในต้นปีหน้า โดยโอบามายังคงเชื่อมั่นและพยายาม ผลักดัน “ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (ทีพีพี)” แม้จะยุติความพยายามที่จะให้มีการรับรองข้อตกลงดังกล่าวในสภาคองเกรสภายในสมัยของตน ขณะที่ชะตากรรมของทีพีพีดูจะมีความไม่แน่นอนมากขึ้น และ “เคว้งคว้าง” ภายใต้ว่าที่รัฐบาลใหม่ เนื่องจากนายทรัมป์มองว่า “มันคือหายนะต่อการจ้างงานในประเทศ” ดังกล่าวไปแล้ว บรรดาผู้นำอีก 11 ประเทศในทีพีพีที่เข้าร่วมการประชุมเอเปค ระบุว่าอาจมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดในทีพีพีเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐฯ มากขึ้น หรืออาจหาทางเดินหน้าต่อไปแม้จะไม่มีสหรัฐก็ตาม ขณะที่ที่ประชุม 21 ชาติเอเปค ระบุในแถลงการณ์สรุปการประชุม เรื่องการสนับสนุนต่อข้อตกลงเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (เอฟทีเอเอพี) ซึ่งเป็นข้อตกลงการค้าเสรีที่ผลักดันโดยรัฐบาลจีน ทั้งนี้ผมมั่นใจว่า “อาจมีการกำหนดหัวข้อใหม่-เนื้อหาสาระใหม่แน่นอน!” จริงๆ แล้ว “เอเปค” นั้นมีการแลกเปลี่ยนสถานที่ประชุมในแต่ละประเทศ 21 สมาชิก แต่เป็นการประชุมที่อาจจะหลวมๆ ไม่ค่อยมีน้ำหนักมากเท่าไหร่ แต่พอนายทรัมป์ประกาศยกเลิก “ทีพีพี” เมื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดีต้นปี 2560 ทำให้ “สมาชิกเอเปค” เกิดอาการที่ต้องผนึกกำลังกันอย่างจริงจังให้แน่นมากกว่าเดิมในการเดินหน้าด้านการค้า และด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เว็บไซต์บริษัท โนมูระ ผู้ให้บริการด้านการเงินและหลักทรัพย์ระดับโลกเผยแพร่บทวิเคราะห์ผลกระทบจากการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของนายทรัมป์ว่า “ถือเป็นความเสี่ยงเชิงลบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเอเชีย” สาเหตุสำคัญมาจาก “การประกาศแนวทางปกป้องทางการค้า-การเข้มงวดเรื่องผู้อพยพ-การบังคับให้พันธมิตรของสหรัฐอเมริกาต้องแบกรับต้นทุน” ด้านความมั่นคงทั้งหมดหากต้องการการรับประกันด้านความปลอดภัยจากสหรัฐอเมริกา รวมไปถึง “นโยบายการคลังแบบประชานิยมภายในประเทศ” โดยระบุว่า “ความเสี่ยงทางลบ” ดังกล่าวจะสูงกว่าผลกระทบจากกรณีประเทศอังกฤษถอนตัวจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป หรือเบร็กซิท เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศสำคัญกว่า มีขนาดเศรษฐกิจ ตลาดทุนและทุนสำรองรวมทั้งอานุภาพทางทหารสำคัญที่สุดประเทศหนึ่งของโลก อย่างไรก็ตาม โนมูระเชื่อว่าประเทศในเอเชียจะได้รับผลกระทบดังกล่าวไม่เท่ากัน โดยเชื่อว่า “เกาหลีใต้-ฮ่องกง-สิงคโปร์-ไต้หวัน-มาเลเซีย” จะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจสูงกว่า เพราะเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการค้าระหว่างประเทศ และประเทศเหล่านี้ยังมีเศรษฐกิจภายในเปราะบางและมีระดับหนี้สินภายในสูงอยู่ด้วยในเวลานี้ ส่วนประเทศ “จีน-อินเดีย-ไทย” จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า เนื่องจากขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าและมีลักษณะเศรษฐกิจค่อนข้างปิด โดยจีนกับอินเดียมีช่องว่างให้เลือกใช้นโยบายเพื่อรองรับหรือแก้ปัญหาได้อีกมาก ในขณะที่ไทยนั้นไม่ได้รับผลกระทบมากนักเนื่องจากภาวะการส่งออกจำกัดอยู่ก่อนแล้ว ทั้งนี้ เครดิตสวิสเชื่อว่าบรรดาประเทศในเอเชียจะปล่อยให้ค่าเงินของตนเองอ่อนค่าลงให้สอดคล้องกับค่าเงินดอลลาร์ที่น่าจะแข็งค่าขึ้น แทนที่จะทุ่มเทเพื่อปกป้องค่าเงินของตนเองเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงต่ำและอยู่ในระดับบริหารจัดการได้ อย่างไรก็ตาม เครดิตสวิส เตือนว่าในครึ่งหลังของปี 2560 เอเชียจะได้รับผลกระทบจากนโยบายที่เป็นปฏิปักษ์ทางการค้าจากสหรัฐอเมริกามากขึ้นในเวลาเดียวกับที่อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาก็จะปรับเพิ่มขึ้นอีกด้วย ก็คงต้องดูกันต่อไปว่า “นโยบายของทรัมป์” จะรุนแรงขนาดไหน?