ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว ที่ว่าด้วยเรื่อง “บุญที่เมืองไทยต้องการ” โดยพระไพศาล วิสาโล จึงขอมาเสนอต่อเป็นตอนที่ 2 ดังนี้

“น่าเสียดายที่การทำบุญแบบนี้สูญหายไปเกือบจะหมดสิ้นแล้ว บุญที่คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันเข้าใจจึงมีความหมายแคบลงมาก เหลือเพียงแค่การถวายทานแก่พระเท่านั้น จนเกิดทัศนคติว่าบุญต้องทำกับพระเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่บุญคือความดีที่เราจะทำกับใครก็ได้ทั้งนั้น รวมทั้งทำกับตัวเองด้วย (เช่น ระงับความโกรธ คิดถูกคิดชอบ หรือทำสมาธิภาวนา)

บุญนั้นมีพลังอย่างยิ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคม ในอดีตบุญมีบทบาทอย่างมากในการสร้างสรรค์และจรรโลงชุมชนให้มีความสงบสุขท่ามกลางอุปสรรคจากธรรมชาติ บุญเป็นตัวเชื่อมประสานและบันดาลใจให้ผู้คนมาช่วยเหลือกันแม้จะมีข้อจำกัดทางด้านเทคโนโลยี ทุกวันนี้บุญก็ยังมีพลังสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมอยู่ไม่น้อย แต่นั่นหมายความว่าจะต้องมีความเข้าใจแก่นแท้ของบุญให้ถูกต้อง และรู้จักประยุกต์การทำบุญให้สอดคล้องกับยุคสมัย

ในช่วง10 กว่าปีที่ผ่านมาได้มีการประยุกต์การทำบุญในหลายลักษณะ ในภาคเหนือ ได้มีการทอดผ้าป่าข้าว เพื่อนำเงินและข้าวที่ได้ไปจัดตั้งหรือสนับสนุนกองทุนข้าวในหมู่บ้าน กองทุนข้าวดังกล่าวตั้งขึ้นเพื่อให้ชาวบ้านที่ยากจนกู้ยืมโดยมีดอกเบี้ยต่ำ แต่บางปีที่เกิดความแห้งแล้ง กองทุนข้าวบางหมู่บ้านไม่มีข้าวเพียงพอที่จะช่วยเหลือชาวบ้าน ดังนั้นชาวบ้านในหมู่บ้านอื่นจึงพร้อมใจกันเข้ามาช่วย วิธีนี้ทำให้หลายหมู่บ้านที่ยากจนสามารถช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนได้ ขณะเดียวกันก็ยังมีเงินเหลือสำหรับสนับสนุนกองทุนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน เช่น กองทุนการศึกษาสำหรับเยาวชน และกองทุนอาหารกลางวัน มองในแง่หนึ่งนี้ก็คือการสืบทอดประเพณีทานทอดที่กำลังสูญหายไป

นอกจากการประยุกต์ประเพณีที่มีอยู่แล้ว ยังมีการคิดค้นกิจกรรมใหม่ ๆ ที่ช่วยให้การทำบุญสอดคล้องกับยุคสมัยมากขึ้น อาทิ กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ หลักการประการหนึ่งของกลุ่มดังกล่าวก็คือการย้ำให้เกิดความตระหนักว่าการมาเป็นสมาชิกกลุ่มนั้นเป็นการทำบุญร่วมกัน เพราะเงินที่นำมาฝากนั้น คนที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือประสบปัญหา สามารถมากู้ยืมเอาไปใช้บรรเทาความเดือดร้อนได้ เท่ากับว่าได้ช่วยสงเคราะห์เขา