งานใหญ่สำหรับรัฐบาล หลายด้านยังไม่ลุล่วง โดยเฉพาะ ในส่วนของ พรรคเพื่อไทย เองที่แม้จะเอาตัวรอด หายใจโล่งอกไปได้เปลาะแรก หลังจากดันการแจกเงินหมื่นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในเฟส ที่ 1 ทั้ง 14.5 ล้านคนไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่า เสถียรภาพของรัฐบาลจะมั่นคงได้อย่างแท้จริง !


 และในระหว่างที่ประชาชนยังรอคอยด้วยมีความหวัง ในเฟสที่ 2 อย่างใจจดจ่อ ปรากฏว่า รัฐบาล และ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รวมทั้ง พรรคเพื่อไทย เองใช่ว่าจะรอดปลอดภัยจากมรสุมทางการเมือง เพราะอย่าลืมว่า ในการประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ วันนี้ (16 ต.ค.67) ยังต้องลุ้นว่า จะมีมติรับคำร้อง ธีรยุทธ สุวรรณเกสร ทนายความอิสระ ที่ยื่นคำร้องให้สอบ ทั้งพรรคเพื่อไทย และ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กระทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง หรือไม่ 


 เพราะหากศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องดังกล่าว จะยิ่งกลายเป็น แรงกดดัน ต่อทั้งพรรคเพื่อไทย และพุ่งไปที่ตัว นายกฯแพทองธาร อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ 
 จากคำร้องของธีรยุทธ มือร้องยุบพรรคก้าวไกล นี่เองที่กำลังทำให้เกิดกระแส ตั้งคำถามว่า รัฐบาลเพื่อไทยจะอยู่จนครบเทอมได้หรือไม่ โดยไม่มีการเปลี่ยนตัว นายกฯ ตามมา จากแพทองธาร ไปเป็นคนอื่น 


 นอกจากนี้ ยังพบว่าสำหรับพรรคเพื่อไทยเอง แม้จะเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล หากแต่เป็น รัฐบาลผสม  ไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่แท้จริง โดยเฉพาะแม้ก่อนหน้านี้ เนวิน ชิดชอบ ผู้มีอิทธิพลเหนือพรรคภูมิใจไทย เข้าพบ ทักษิณถึงที่บ้านจันทร์ส่องหล้า แต่กลับไม่พบว่าท่าทีของพรรคภูมิใจไทย จะโอนอ่อน สนับสนุนเสียงในสภาผู้แทนราษฎร แต่อย่างใด 


 นอกจากนี้ กลับพบว่า อุปสรรค ของพรรคเพื่อไทย ในสภาฯ ยังสะดุด เมื่อมีการพูดถึงการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไปจนถึงการพิจารณาร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม  เมื่อ ทุกพรรคร่วมรัฐบาล ต่างพากันประสานเสียง คัดค้าน ไม่ให้มีการนิรโทษกรรมเหมาเข่งรวมเอา ความผิดคดีมาตรา 112 พ่วงไปด้วย  


 การเป็นรัฐบาลผสม ที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ อาจไม่ได้หมายความว่าพรรคเพื่อไทยจะถือธงนำหรือเป็นผู้กำกับกำหนดเกม ได้ทั้งหมด  ดังนั้น การฟื้นนัดกระชับมิตร ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล จึงถูกหยิบขึ้นมาวางเอาไว้บนโต๊ะรอบใหม่ อย่างน้อยที่สุดเพื่อความมั่นใจของนายกฯที่ชื่อแพทองธาร ที่ยังนั่งทำหน้าที่อยู่ในทำเนียบรัฐบาลยามนี้