ทวี สุรฤทธิกุล
อภินิหารสุดท้ายที่ “วิตถาร” สุด ๆ ก็คือ การช่วยพ่อให้รอดคุก ที่มีหนทางเดียวคือล้างโทษ หรือ “นิรโทษกรรม”
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณท่านผู้อ่านที่เสนอคำว่า “วิตถาร” มาใช้แทน “อภินิหาร” โดยอธิบายว่า อภินิหารควรใช้กับ “ผู้มีบุญญาธิการ” ที่หมายถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของผู้มีบุญด้วยการประกอบคุณงามความดี ดังนั้นคนที่ประสบความสำเร็จด้วยการทำชั่วหรือมีเจตนาทุจริต จึงเป็นคนอีกพวกที่น่าจะเรียกว่า “ผู้มีเสนียดจัญไร” และการกระทำของคนพวกนี้น่าจะเรียกว่า “วิตถาร” ได้อย่างตรงตัวที่สุด
พอมองย้อนไปที่ “วิตถารแรก” เรื่องการแจกเงิน 10,000 บาท ก็ดูเหมือนจะวิตถารหรือ “จัญไร” จริง ๆ เพราะพอเอาเข้าจริง ก็ใช้การโป้ปดเปลี่ยนแปลง จากที่คิดจะทำเป็นเงินดิจิตอลก็มาแจกเป็นเงินสด พร้อมกับที่แจกเพียงบางกลุ่มบางส่วน ไม่ได้เป็นไปตามที่เคยหาเสียงไว้ว่าจะแจกทุกคนและจะได้พร้อม ๆ กัน ยิ่งไปกว่านั้นก็มีหลายคนเชื่อว่า นโยบายนี้น่าจะเกิดจัญไรเกิดขึ้นอีก คือยังไม่สามารถกำหนดการแจกเงินรอบต่อไป รวมถึงกำหนดที่ว่าจะแจกใคร กลุ่มไหน เท่าไร อีกด้วย สภาพการณ์อย่างนี้ก็มีคนเป็นห่วงว่า รัฐบาลนี้อาจจะเจอกับ “นรกชิงเปรต” คือผลร้ายของการหว่านเงินแบบ “จัญไร” ดังกล่าว จนอาจจะ “อยู่ไม่ได้ – ไปไม่เป็น” นั่นเลย เพราะประชาชนที่เขาไม่ได้เงินจะลงประชาทัณฑ์อย่างแน่นอน
พอมาถึง “วิตถารที่สอง” ที่กำลังลากรัฐบาลนี้ “ถูลู่ถูกัง” ให้อยู่รอดไปได้จนครบเทอม ก็น่าจะเป็นไปได้ยากอย่างที่ได้อธิบายให้เห็นแล้วว่า ท่ามกลาง “นิติสงคราม” คือข้อร้องเรียนที่ “นักร้อง” ทั้งหลายนำมาถล่มรัฐบาล ก็คงจะทำให้รัฐบาลนี้ทั้ง “เสียเซล์ฟ” และ “เสียทรง” ไปได้พอควร จนถึงขั้นที่ “อยู่ไม่ได้ - ไปไม่เป็น” ได้อีกเช่นกัน ล่าสุด “นายหน้าเหลี่ยม” ก็พยายามจะสร้างภาพให้เห็นว่า กลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลยังไม่แตกแยกกันไปไหน อย่างที่ได้เรียกแกนนำพรรคภูมิใจไทย “ครูใหญ่” กับ “หัวหน้าหนู” เข้าไปพบโดยอำพรางว่าไปขอพรวันเกิด แต่คอการเมืองก็พอมองออกว่า พรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยพรรคภูมิใจไทยนี้เป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่มีการเสนอแลกกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้หัวหน้าหนู เพื่อความอยู่รอดของรัฐบาลนี้ ซึ่งหลายคนก็เชื่อว่านายหน้าเหลี่ยมก็คงมองเห็นอนาคตของลูกสาวตัวเองแล้วว่า คงพารัฐบาลนี้ต่อไปได้ยากลำบาก และอาจจะต้องหลุดจากตำแหน่งด้วยข้อร้องเรียน รวมถึงที่ไม่สามารถบันดาลให้นโยบายต่าง ๆ สำเร็จออกมาได้ แต่ที่เป็นความต้องการสูงสุดของนายหน้าเหลี่ยมนี้ก็คือ การอาศัยอิทธิพลทางการเมือง “คุ้มกะลาหัว” ตัวเอง อย่างน้อยเมื่อพรรคเพื่อไทยเพลี่ยงพล้ำ ก็อาจจะให้พรรคภูมิใจไทยช่วยเหลือในคดีความต่าง ๆ ต่อไป ทั้งนี้ก็ต้องคอยดูว่าถ้านายกฯแพทองธารต้องพ้นจากตำแหน่งไป และมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งเชื่อกันว่าหัวหน้าหนูคงได้ขึ้นมาแทนในตำแหน่งนี้ ในการตั้งรัฐมนตรีต่าง ๆ พรรคเพื่อไทยจะเหลือกระทรวงไหนให้คุมบ้าง จนถึงขั้นที่เชื่อกันอีกว่า ถ้านายหน้าเหลี่ยมและครอบครัวจะหนีออกนอกประเทศเพื่อหลบหนีคดีต่าง ๆ ก็จะมีอิทธิพลทางการเมืองและในระบบราชการนี้ “คุ้มครอง” ให้รอดพ้นหนีไปได้
ดังนั้นการสร้างอภินิหารหรือ “วิตถาร” อื่น ๆ จึงไม่น่าจะมีความสำคัญอะไรอีกแล้ว เช่น ที่นายหน้าเหลี่ยมเคยบอกว่าจะทำให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งแบบแลนสไลด์อีกครั้งในการเลือกตั้งครั้งต่อไป เพราะพอมาถึงเวลานี้หลายคนก็เชื่อว่า พรรคเพื่อไทยน่าจะกำลังเสื่อมความนิยมเสียมากกว่า รวมถึงที่อาจจะมีภาวะ “แพแตก” แยกตัวไปลงเลือกตั้งในพรรคอื่น โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ที่คาดว่าน่าจะเป็นพรรคใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ด้วยความเชื่อเหล่านี้จึงมีความเชื่อกันอีกว่า นายหน้าเหลี่ยมกับลูกสาวน่าจะอยู่ในภาวะ “ติดกับดักหนู” คืออยู่ในกรงของคดีความและข้อร้องเรียนต่าง ๆ จนเอาตัวเองออกมาไม่ได้ จึงต้องพยายามหาหนทางในการสร้าง “วิตถารสุดท้าย” คือหาทางเอาตัวรอดให้พ้นคุกนี้ให้ได้เสียก่อน
วิธีการที่นักการเมืองเหล่านี้พอมองเห็นก็คือการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งคาดกันว่าน่าจะมีความ”ละเมียดละไม” มากกว่าที่เคยเสนอฉบับสุดซอยเมื่อปี 2556 (อันนำมาซึ่งการประท้วงปิดเมืองของ กปปส. กระทั่งเกิดการรัฐประหารในปี 2557) นั้น โดยที่กูรูบางท่านบอกว่าอาจจะเริ่มจากการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ก็ให้มีการพูดถึงบทบัญญัติที่ว่าด้วยการนิรโทษกรรม ให้ครอบคลุมการให้อภัยโทษแก่นักโทษหลาย ๆ กลุ่ม จากนั้นเมืองรัฐธรรมนูญผ่านออกมาใช้แล้ว ก็ให้เอาร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่แอบร่างไว้แล้วนั้นเสนอรัฐสภาโดยเร็ว ซึ่งคำนวณกันไว้ว่าน่าจะใช้เวลาในทุกขั้นตอนนี้ภายใน 2 ปี ซึ่งก็ยังอยู่ในวาระของรัฐบาลชุดนี้(ที่นักการเมืองกลุ่มนี้เชื่อว่าจะอยู่รอดครบเทอม) พร้อมกับที่จะมีเลือกตั้งใหญ่ในปี 2570 นั้นด้วย
แต่ “ฝัน” ของนักการเมืองกลุ่มนี้อาจจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว เพราะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา วุฒิสภาได้ตีตกร่างพระราชบัญญัติประชามติ ที่ได้ผ่านสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วนั้น แม้สภาผู้แทนราษฎรจะยังยืนยันด้วยเสียงเอกฉันท์(มีเพียง ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย 65 คนงดออกเสียง)ให้ยืนยันร่างเดิม แต่ก็จะทำให้กฎหมายนี้ต้องล่าช้าออกไปอีก อย่างน้อยในขั้นของการตั้งกรรมาธิการร่วมกันของทั้งสองสภาเพื่อเพื่อพิจารณากฎหมายนี้อีกครั้งก็คงจะต้องใช้เวลาพอสมควร ซึ่งก็เชื่อกันว่าพวก ส.ว.สีน้ำเงินก็คงต้องเห็นชอบตามที่ ส.ส.ขอให้ทบทวน กระนั้นในขั้นตอนของการทำประชามติแม้จะเป็นการทำเพียงรอบเดียว ก็อาจจะต้องใช้เวลาตั้งแต่เตรียมการจนถึงลงคะแนนเป็นเวลาอีกหลายเดือน แล้วพอในขั้นตอนของการร่างรัฐธรรมนูญก็ต้องใช้เวลามาก ตั้งแต่การตั้ง สสร. และลงมติรับรองรัฐธรรมนูญอีกรอบ ทั้งหมดนี้ในเวลาที่เหลืออยู่ไม่น่าจะพอเพียง
ล่าสุด มีข่าวว่า “ครูใหญ่” เสนอให้เอาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเอาไว้ลงมติพร้อมการเลือกตั้งคราวหน้า รวมถึงกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะไม่อยากเป็นเครื่องมือของนายหน้าเหลี่ยม นั่นก็คือ “เรื่องมันยังไม่จบครับนาย” เพราะ “ดีลเบิร์ธเดย์” ณ บ้านจันทร์ส่องหล้าเมื่อสัปดาห์ก่อนไม่สำเร็จ เพราะนายหน้าเหลี่ยมยังอยากจะให้ลูกสาวตัวเองเป็นนายกฯไปอย่างนี้ก่อน จนเมื่อ “ถึงคราว” ต้องพ้นจากตำแหน่งแล้วจึงค่อยมาว่ากันใหม่)
การเมืองไทยก็ยังเต็มไปด้วย “วิตถาร” แบบนี้ เพราะยังเต็มไปด้วยนักการเมืองแบบ “จัญไรชน” นี่เอง