เสรี พงศ์พิศ

Fb Seri Phogphit

ไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจที่ไทยเป็นประเทศที่มีอุบัติเหตุบนถนนมากอันดับต้นๆ ของโลก ตายปีละกว่า 15,000 คน บาดเจ็บกว่า 8 แสนคน มากที่สุด คือ ช่วงเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์

วัวหายแล้วก็ล้อมคอกทุกที แต่คอกที่บอบบางไม่ได้ทำให้ตัวเลขความตายบนท้องถนนลดลง อย่างกรณีที่น่าสลดใจไฟไหม้รถบัสที่เด็กเล็กกับครูเสียชีวิต 23 คน ข่าวที่ดังไปทั่วโลก

มีบางคนคิดจะให้เลิกการไปทัศนศึกษาด้วยซ้ำ คิดอะไรง่ายๆ เหมือนที่ยุคหนึ่งมีคนเสนอให้เอาผู้ติดเชื้อไปปล่อยเกาะให้หมด จะได้ไม่แพร่เชื้อ แทนที่จะหาวิธีป้องกัน ซึ่งมีวิธีที่ทำได้ เพราะรู้ว่าเอดส์แพร่ได้กี่ทาง

เช่นเดียวกัน รู้กันดีว่าปัญหาอุบัติเหตุบนถนนมาจากความฉ้อฉล หรือการคอร์รัปชัน “ดีชั่วรู้หมดแต่อดไม่ได้” การขาดธรรมาภิบาล และความไร้วินัยของคนไทย ต้นเหตุสำคัญที่ไม่ได้แก้ไข ไม่ได้ล้อมคอก ทำไปไม่ต่อเนื่อง ลูบหน้าปะจมูก เกิดเรื่องใหญ่ทีก็พูดกันที แล้วก็หายไป เป็นคลื่นกระทบฝั่ง

อุบัติเหตุบนถนนมีการวิเคราะห์หรือพูดกันมากจนเลิกพูด สาเหตุมีไม่กี่อย่าง ร้ายแรงเกี่ยวข้องกันหมด แต่ไม่เคยมีการแก้ไขอย่างจริงจัง เกิดจากคนขับ พาหนะ ถนน การบังคับใช้กฎหมาย แต่ลึกซึ้ง มีรายละเอียดมาก

คนขับเมายา เมาเหล้า นอนไม่พอ ไม่เคารพกฎจราจร ขับรถเร็ว ฝ่าไฟแดง ย้อนศร สวนเลน ซื้อใบขับขี่ เจ้าหน้าที่ไม่จับปรับ รับส่วย ไม่ว่ารถเล็กรถใหญ่ สี่ล้อสิบล้อ กระบวนการยุติธรรมที่มีปัญหา

ถนนเต็มไปด้วยรถที่ผิดกฎหมาย ไม่ได้มาตรฐาน ผ่านการตรวจทิพย์กันมากมาย ดังกรณีรถบัสที่ไฟไหม้ ยังรถบัสสองชั้นอันตรายที่ยังวิ่งกัน รถตู้ รถมอเตอร์ไซค์ รถบรรทุกน้ำหนักเกิน ถนนหนทางที่โกงกินจนเบาบาง ลาดยางเทคอนกรีตไม่นานก็เป็นหลุมเป็นบ่อ โกงซ่อมกันต่อ เป็นวงจรอุบาทว์ของถนนหนทางประเทศไทย

ถนนหลายสายมีการวางแผนกันในห้องแอร์ จึงมีทางโค้ง สามแยกสี่แยก “วัดใจ” ตายกันไม่รู้เท่าไรก็ยังไม่แก้ไขติดตั้งไฟจราจร  ป้ายบอกทางที่มั่ว ป้ายโฆษณา ป้ายต่างๆ เต็มถนนในเมืองนอกเมือง

“ทำอะไรได้ตามใจคือไทยแท้” มักง่าย ประมาท คิดแต่ว่า “ไม่เป็นไร” แต่หลายครั้งก็เป็นโศกนาฏรรม ซึ่งเป็น “กรรม” ของคนไทยและสังคมไทย ที่ไม่ได้อบรมสั่งสอนวินัยและคุณธรรมตั้งแต่ครอบครัว โรงเรียน และสังคมโดยรวม

ถึงเวลา “สังคายนา” อุบัติเหตุบนถนนกันได้แล้ว ไม่ใช่เอาแต่นับคนเจ็บคนตายตอนปีใหม่สงกรานต์ ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไร เกิดเหตุร้ายแรงที นักการเมือง ข้าราชการก็วิ่งไปที่เกิดเหตุแบบคนหิวแสง แล้วเรื่องก็เงียบหายไป ถ้ารับผิดชอบจริงอย่างเกาหลี อาจมีรัฐมนตรี อธิบดีฆ่าตัวตายหลายคน

ทำไมไม่ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ร่วมมือกันทุกฝ่าย ชำแหละที่มาสาเหตุทุกอย่าง และร่วมมือกันแก้ไข ซึ่งทำได้ ดูประเทศที่มีปัญหาอุบัติเหตุน้อยๆ ล้วนมีการคอร์รัปชันน้อย ผู้คนมีวินัย เคารพกฎหมาย เขาไม่บีบแตรไล่คนข้ามถนน แต่หยุดให้คนข้ามทางม้าลาย ไม่ว่ามีหรือไม่มีไฟจราจร

ปัญหาจราจรมีผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจที่เราไม่ค่อยคิดกัน ทีดีอาร์ไอวิจัยว่า ปี 2566 อุบัติเหตุบนถนนสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 6 แสนล้านบาท แล้วปัญหาสังคม คนตาย คนเจ็บ คนพิการ ที่นอกจากจะทำงานไม่ได้ ยังเป็นภาระให้ครอบครัวและสังคมอีกเท่าไร

เรื่องที่พูดง่าย ทำยาก ถ้าหากผู้นำ รัฐบาล นักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ ยังโกงบ้านกินเมืองอยู่เช่นนี้ ถ้ากระบวนการยุติธรรมยังไม่เข้มแข็ง ประชาชนก็จะแก้ปัญหากันเอง ตีกัน ฆ่ากันบนถนน ระบบโครงสร้างไม่แข็งแรงเพราะรากฐานจิตสำนึกอ่อนแอ

การสร้างจิตสำนึกใหม่ให้สังคมไทย คือโจทย์ใหญ่ที่ต้องร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ไม่เพียงแต่รณรงค์ แต่ลงมือปรับปรุงแก้ไขในสิ่งที่ผิดและบกพร่องทั้งหลาย

ที่สำคัญ ปัญหาการผูกขาดอำนาจ ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่กระจายอำนาจ ทำให้ประชาชนกลายเป็นเพียงผู้รับฟังคำสั่ง เมื่อไม่มี “คำสั่ง” ก็ไม่ทำ ไม่ได้มีส่วนร่วมในการกำหนดกฎเกณฑ์ของสังคม ไปเลือกตั้งก็หมดหน้าที่ของประชาชน

เป็นได้แต่ “ประชาชน” ไม่ได้เป็น “พลเมือง” คือประชาชนที่มีจิตสำนึกประชาธิปไตย

ประชาธิปไตย เสรีภาพ มาพร้อมกับความรับผิดชอบ พลเมืองที่มีจิตสำนึกย่อมร่วมกันสร้างสังคมที่ปลอดภัย มั่นคง แข็งแรง เคารพกฎหมาย เคารพตนเอง เคารพผู้อื่น

การที่รัฐผูกขาดอำนาจ ย่อมเหมือนกับการรวบอำนาจในการแก้ปัญหาผู้เดียว การคอยตรวจคอยจับ ผู้คนเคารพกฎหมายไม่ใช่เพราะจิตสำนึก แต่เพราะกลัวถูกจับถูกปรับ สวมหมวกกันน็อกเมื่อเห็นตำรวจ ไม่ใช่เพราะจิตสำนึกความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น

เราต้องการสังคมใหม่ การเมืองใหม่ ที่จะเกิดได้ต่อเมื่อเกิดจิตสำนึกใหม่เท่านั้น ซึ่งไม่ใช่อะไรที่ใช้อำนาจหรือสั่งให้เกิดได้ ต้องร่วมกันสร้าง ร่วมกันพัฒนา เพื่อให้เกิดสังคมพลเมือง  (civil society) ที่ศิวิไลซ์ (civilized society)

สังคมที่ไม่ได้มีแต่วัฒนธรรม (culture) ที่มีจารีตประเพณี วิถีชุมชน ค่านิยมที่ไม่ใช่ดีเสมอไป บางอย่างอาจไม่เหมาะกับสังคมวันนี้ ที่ต้องปรับตัว รื้อสร้างใหม่ ด้วย “กระบวนทัศน์” ใหม่

ที่ไม่ใช่สังคมอุปถัมภ์ แต่เป็นสังคมประชาธิปไตย ที่ไม่ใช้คำว่า “ไม่เป็นไร” หรือ “ยังไงก็ได้” อย่างฟุ่มเฟือยและไม่รับผิดชอบ

เป็นสังคมที่มีอารยธรรม (civilization) สังคมที่เจริญพัฒนา ไม่ใช่ถูกเรียกว่า “ด้อยพัฒนา” หรือ “กำลังพัฒนา” อยู่ร่ำไป (แต่ไม่พัฒนาสักที)