การเคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ของพรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย เป็นที่จับตาว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ อย่างไร และเมื่อไหร่
จะสามารถแก้ไขสถานการณ์การเมืองที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตกอยู่ในวงล้อมข้อร้องเรียนให้ตรวจสอบต่างๆหรือเป็นเพียงสร้างแรงเสียดทาน
และหรืออาจกลายเป็นชนวนความวุ่นวายและวิกฤติการเมืองระลอกใหม่หรือไม่ ด้วยปฏิริยาในฝั่งที่คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ออกมาจากปีกของมวลชน และแม้แต่สุ้มเสี่ยงของสส.บางคนในพรรคร่วมรัฐบาล
กระทั่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจกลายเป็นเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว ทางหนึ่งก็มองว่าจะเป็นการเร่งระยะเวลาไปสู่จุดสิ้นสุดของรัฐบาล หากแต่อีกทางหนึ่งก็อาจเป็นการประวิงเวลาไว้ได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อไปดูร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ในส่วนของพรรคเพื่อไทย พบว่า มีการเสนอแก้ไข 6 ประเด็น หนึ่งในนั้นมการเสนอแก้ไขมาตรา 160 (4) และ (5) เกี่ยวกับ คุณสมบัติรัฐมนตรี โดยปัจจุบัน (4) กำหนดว่าต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ แก้เป็น “ ไม่มีพฤติกรรมหรือการกระทำที่ประจักษ์ว่า ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต” และให้ถือการกระทำดังกล่าวนับแต่ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมบังคับใช้ ส่วน (5) เรื่องจริยธรรมแก้ให้ชัดเจนว่า ผู้เป็นรัฐมนตรีต้องอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีในศาลฎีกา กรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดย (7) คนที่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดียังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอลงโทษซึ่งปัจจุบันห้ามเป็นรัฐมนตรีนั้น แก้เป็น ให้นำกรณีดังกล่าวเป็นเหตุความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามมาตรา 170 แทน และเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตและจริยธรรมที่กำหนดเป็นคุณสมบัติของรัฐมนตรีนั้น รัฐธรรมนูญให้นำไปใช้กับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระด้วย จึงแก้ไขมาตราที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกัน โดยแก้ไข ม.201 ,ม.202 ,ม.222 ,ม.228 ,ม.232 ,ม.238 และ ม.246
ซึ่งถือว่าประเด็นนี้ เป็น “หนามยอก”ของพรรคเพื่อไทย ที่ทำให้นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และอาจส่งผลกระทบต่อนางสาวแพทองธารในอนาคต
ในเชิงการเมืองถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ความเป็นเอกภาพของพรรคร่วมรัฐบาลและความร่วมมือจากพันธมิตรนอกขั้วอย่างพรรคประชาชน และสภาสูงภายใต้การควบคุมของค่ายน้ำเงิน ในขณะที่เสียงของมวลชนที่คัดค้านนั้นอ่อนกำลัง และนำไปสู่คำถามประชาชนจะได้อะไรจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้