ทวี สุรฤทธิกุล

สำนวนไทยมีว่า “ด้านได้ อายอด” ถ้าการเมืองไทยก็คือ “ชั่วมั่งมี ดีอดอยาก”

ใครที่เติบโตมาในช่วง พ.ศ. 2522 - 2540 คงจะคุ้นเคยกับสำนวนทำนองนี้ เช่น คำพูดของ “ตู้เอทีเอ็มแห่งสภาผู้แทนฯ” เถ้าแก่ร่างเตี้ยแห่งเมืองสุพรรณ ที่พูดในคราวที่ต้องตกเป็นฝ่ายค้านในครั้งหนึ่งว่า “เป็นฝ่ายค้านแล้วอดอยากปากแห้ง” คำคำ นี้นี่เองที่แสดงให้เห็นถึง “สรณะ” หรือหลักยึดของบรรดานักการเมืองไทย ที่ยึดถือกันมาแต่ไหนแต่ไร ว่า “เงิน(เท่านั้น)คืออำนาจ อันก่อให้เกิดระบอบ “ธนาธิปไตย” หรือการใช้เงินซื้ออำนาจและตำแหน่งทางการเมือง ที่รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 พยายามจะล้างให้หมดไป แต่ที่สุดในการเลือกตั้งครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ใน พ.ศ. 2544 ความพยายามนี้ก็ประสบความล้มเหลว เพราะรัฐบาลที่เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้กลายเป็น “พญามาร” ผลาญชาติและโกงกินเป็นที่สุด แล้วก็ทำให้การเมืองไทยตั้งแต่ พ.ศ.นั้นถูกปกครองด้วย “ระบอบพญามาร” มาจนถึงปัจจุบัน

“เงินเท่านั้นเป็นใหญ่” ซื้อได้ทุกอย่าง(ทุกสถาบัน) ใครที่รู้จักใช้มัน(คือเงิน)จะครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง

บัดนี้ “ผู้สืบสันดาน(มาร)” ได้ขึ้นสู่อำนาจเป็นที่เรียบร้อย หลายคนเชื่อว่าเธอจะเป็น “พญามาร” เหมือนบิดา โดยจะเป็นผู้ที่มาสืบทอด “ระบอบชั่ว - ลัทธิเลว” ของบิดา ที่เราได้พูดถึงมาทั้งสองสัปดาห์ในบทความนี้ก่อนหน้านี้ แต่ในในความคิดของผู้เขียนมองว่าเธออาจจะ(ชั่ว)ไม่ถึงขั้นนั้น

ประการแรก แม้เธอจะ “สืบสายเลือด” มาจากบิดาที่ชั่วร้าย แต่ในทางวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์ ก็ไม่มีข้อมูลยืนยันว่า พ่อที่ชั่วแล้วลูกก็ต้องชั่วไปด้วยเสมอ ในขณะเดียวกันก็มีบุคคลที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษที่มีประวัติชั่ว แต่ก็ไม่ได้มีชีวิตที่สืบทอดไปในทางชั่วนั้นด้วย ซ้ำบางคนยังได้สร้างคุณงามความดี มีชื่อเสียง และเป็นที่ยกย่อง แม้แต่ในระดับผู้นำหรือพระมหากษัตริย์

ประการต่อมา ในทางสังคมวิทยา “นิสัยสันดาน” ที่ฝรั่งเรียกว่า “Traits” นั้น เป็นสิ่งที่เกิดจากสังคมแวดล้อมที่อยู่รายรอบเป็นสำคัญ ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า “การอบรมกล่อมเกลาทางสังคม” หรือ “Socialization” ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีหญิงคนปัจจุบันก็มีคุณพ่อเป็นสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ ร่วมกับบรรดาเสือสิงกระทิงแรดเต็มสภา ก็เป็นสิ่งแวดล้อมที่ “เน่าเหม็น” ตลบอบอวลอยู่รายรอบเธอตลอดเวลา พร้อมทั้งข้าราชการที่อยากเติบใหญ่ได้ดีและนักธุรกิจที่อยากใหญ่อยากรวย ก็เป็นอีกสิ่งแวดล้อม “ที่เลว ๆ” ทับถมมาที่ตัวเธอ “ผู้คนห่วย ๆ ซวย ๆ” พวกนี้มากกว่าที่จะทำให้เธอจะ “เลวจนสุดกู่” หรือไม่

ประการสุดท้าย ในความเป็นผู้หญิงและความเป็นแม่ ตอนนี้เธอมีลูกแล้วสองคน เธอมีประสบการณ์ของความเป็นลูกนักการเมืองที่มีชะตากรรม “ย่ำแย่” ถ้าเธอเป็นคนฉลาดเธอก็จะต้อง “คิดได้” อย่างน้อยก็จะต้องคิดถึงอนาคตของครอบครัว โดยเฉพาะลูกน้อยว่าจะให้เติบโตขึ้นเป็น “ทายาทซาตาน – ลูกหลานมารผลาญชาติ” แบบพ่อแม่และน้าของตัวเองหรือไม่ ที่สำคัญเมื่อมีโอกาสในตำแหน่งที่สูงส่งและยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เธอน่าจะคิดได้ว่า “ขอให้ความชั่วความเลวจบลงที่สมัยของเธอนี้” ก็อาจจะเป็นได้

อย่างที่ผู้เขียนทิ้งท้ายไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า สัปดาห์นี้เราจะมาหา “ทางออก” หรือวิธีแก้ไขปัญหาไปด้วยกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อนที่ “หยุดและทำลาย – ระบอบชั่วและลัทธิเลว” ที่ว่ามา

ความหวังของเราน่าจะประกอบด้วย “หนทาง” ดังต่อไปนี้

หนึ่ง “วิธีธรรมชาติ” (แต่ก็หวังว่าตระกูลนี้จะไม่ใช้ “ช่องทางธรรมชาติ” หนีออกนอกประเทศไปอีก) คือรอให้สิ้นอายุขัยของ “บิดาชั่ว” นั้นเสียก่อน ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาบ้าง(แต่ก็หวังว่าจะไม่นาน) แต่ก็มีมนุษยธรรม และเป็นที่ถูกใจของชาวพุทธที่เชื่อในเรื่องเวรกรรม เพียงแต่อาจจะต้องให้คนที่ทำความชั่วความเลวถึงขนาดนั้นได้รับผลตอบแทนอย่างสาสม ถึงขั้นที่ผู้คนทั้งหลายไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง และให้จดจำไปในทุก ๆ ชาติไม่สิ้นสุด

สอง “วิธีทางกฎหมาย” คือควบคุมไม่ให้บิดาเข้ามาก้าวก่ายการทำหน้าที่หัวหน้ารัฐบาลของเธอ เช่นที่กำลังมีผู้ร้องเรียนศาลรัฐธรรมนูญว่าบิดาของนายกรัฐมนตรีเข้ามาครอบงำการทำหน้าที่ของรัฐบาลหรือในบงการอยู่ในพรรคแกนนำรัฐบาลนั้นหรือไม่ รวมถึงใช้พลังการตรวจสอบทั้งในและนอกสภา ที่ให้อำนาจภาคส่วนต่าง ๆ ไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่าง ๆ “บีบล้อม - ตบกะโหลก” พวกคนชั่วเหล่านี้อยู่เสมอ อย่าย่อท้อหรือเลิกรา ทั้งนี้แม้นักการเมืองพวกนี้จะ “หน้าด้านหน้าทน” แต่ประชาชนก็จะได้ “เอ็กเซอร์ไซส์” พลังไว้ จนถึงท้ายที่สุดก็อาจจะได้ใช้พลังนี้ขับไล่พวกคนชั่วคนเลวออกไป อย่างเช่นที่เคยทำมากันหลาย ๆ ครั้งนั้น

สาม “วิธีทางสังคม” คือเชื่อในระบบครอบครัวเครือญาติและพรรคพวกบริวาร ซึ่งระบบนี้มีอิทธิพลอยู่ในสังคมไทยมาอย่างแน่นแฟ้นและยาวนาน ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นนักวิชาการเชื่อว่าวิธีการนี้จะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะมีความละมุนละม่อมเหมาะกับสังคมไทย โดยสามารถแก้ได้ถึงต้นตอและตัดตอนไม่ให้ถ่ายทอดเป็น “ผู้สืบสันดาน” ใด ๆ ได้อีก นั่นก็คือต้องให้คนที่รู้จักและสนิทสนมกับนายกรัฐมนตรีคนนี้ ช่วยกันหว่านล้อมให้เธอเห็นแก่ลูก ๆ ของเธอเอง ขอให้เธอหยุดการกระทำที่จะเป็นการสืบทอดความเลวความชั่ว ที่ง่ายที่สุดก็คือไม่รับฟังคำสั่งใด ๆ จากบิดา ขอให้มีความเป็นตัวของตัวเอง และยึดมั่นในคุณธรรมความดีต่าง ๆ หรือถ้าเป็นไปได้ก็ให้มองประโยชน์สุขของคนไทยและประเทศชาติเป็นสำคัญ เท่านี้บางทีไม่เพียงแต่จะลบภาพ “ตระกูลมาร - ซาตานชาติไทย” ได้แล้ว ยังอาจจะเป็นโอกาสได้เกิดของ “วีรสตรี” ของไทยได้อีกคนหนึ่งด้วย

นอกจากนี้ยังมีผู้เสนอวิธีทางไสยศาสตร์ เช่น การสาปแช่ง หรือหวังพึ่งพิงสิ่งศักดิ์ และอำนาจมนตร์ดำต่าง ๆ แต่ผู้เขียนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญจึงไม่ขอนำเสนอในรายละเอียด ขอให้เป็นเรื่องของความเชื่อและรสนิยมของแต่ละท่าน แต่ทั้งหมดนี้ก็ขอให้เราคนไทยอย่าได้หมดความหวัง และขอให้เชื่อมั่นในพลังของความดี ว่าจะยังเป็นพลังที่คุ้มครองบ้านนี้สังคมนี้ให้อยู่รอดและเจริญรุ่งเรืองได้ตลอดไป

ทุกสิ่งเกิดขึ้น คงอยู่ มีเติบโต มีเสื่อม และดับไปฉันใด การเมืองไทยก็เป็นฉันนั้น