ทวี สุรฤทธิกุล
ทางศาสนาคนไทยเป็น “พุทธบวกไสย” ทางการเมืองเราเป็น “ประชาธิปไตยบวกความชั่ว”
“ความชั่ว” คือสิ่งไม่ดีที่มีอยู่ในจิตใจ บางทีก็ไม่มีใครรู้ จนกว่าจะได้แสดงออกมาให้คนอื่นได้เห็น เกิดการกระทำที่ไม่ดีก็จะเรียกว่า “ความเลว”
เมื่อยุคที่เราถูกปกครองโดยตระกูลชั่วตระกูลหนึ่งในยุคแรก ได้สร้างความคิดอย่างหนึ่งให้กับคนไทยจำนวนมากว่า “คนรวยไม่โกง” แต่พอถูกรัฐประหารและเอาความชั่วต่าง ๆ มาประจาน ประชาชนฝ่ายที่คลั่งไคล้ “ผู้นำเลว” คนนี้ก็บอกว่า “โกงเพื่อประชาชน - ไม่เห็นจะเป็นไร” นั่นคือผู้นำคนนี้ได้สร้างลัทธิ “เชื่อมั่นในความชั่ว - ความเลว” ขึ้นมาในหมู่คนไทยจำนวนมากมาตั้งแต่ครั้งนั้น
ต่อมาคณะทหารที่ยึดอำนาจมาได้ก็คิดจะปล่อยอำนาจคืนสู่ประชาชน โดยให้มีการเลือกตั้งในปลายปี 2550 ผู้เขียนที่เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและได้รับการแต่งตั้งให้ไปเป็นคณะกรรมการติดตามดูแลการเลือกตั้งที่มีหัวหน้าคณะ คมช.เองเป็นประธาน ได้เสนอความเห็นต่อที่ประชุมตั้งแต่ในการประชุมครั้งแรก ๆ ว่า ควรจะต้องควบคุมการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ ของพรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งหลายให้เข้มงวด เนื่องจากตอนนั้นเริ่มมีการใช้ “สื่อใหม่” จำพวกไลน์และเฟสบุ๊กเพิ่มขึ้นมากแล้ว รวมถึงมีการผลิตวิดีโอประชาสัมพันธ์ลงแผ่นซีดีอย่างแพร่หลาย เพราะมีราคาถูกและแจกจ่ายได้รวดเร็ว
นอกจากทหารคณะนี้จะเป็นพวกต่อมลูกหมากโต “ปัสสาวะไม่สุด” แล้ว ยังเป็นโรค “เทคโนโฟเบีย” อีกด้วย คือกลัวการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ ทั้งยังไม่เชื่อว่าเทคโนโลยีจะ “เจาะใจ” อะไรในตัวผู้เลือกตั้งได้ แต่จากรายงานของผู้สื่อข่าวที่ทำข่าวการหาเสียงเลือกตั้ง พบว่าพรรคการเมืองใหม่พรรคหนึ่ง(ที่เพิ่งถูกยุบพรรคไปในปี 2549 แล้วไปเซ้งพรรคการเมืองเล็ก ๆ พรรคหนึ่งมาใช้)มีการแจกจ่ายซีดีเป็นภาพและเสียงของ “ผู้นำหน้าเหลี่ยม” ถึงชีวิตที่ถูกกระทำย่ำยี จนต้องระเห็จออกนอกประเทศ บางหมู่บ้านมีการนำรถไปฉายซีดีนี้ขึ้นจอขนาดใหญ่ร่วมกับการจัดปราศรัย ตามรายงานข่าวบอกว่าสามารถ “บีบน้ำตา” ชาวบ้านได้เป็นจำนวนมาก สุดท้ายพรรคการเมืองนี้ก็ชนะการเลือกตั้งเข้ามาเป็นจำนวนมากและได้จัดตั้งรัฐบาล ที่มีผู้นำ “จมูกชมพู่ผ่าซีก” เป็นนายกรัฐมนตรี
หลายคนโทษคณะทหารชุดนั้นว่า เพราะไม่ “ถอนรากถอนโคน” ระบอบชั่ว ทั้งที่มีโอกาสมากมายในตอนนั้น จึงนำมาซึ่งการ “ฝังราก” ลงไปของ “ระบอบชั่ว - ลัทธิเลว” นี้ คือหลังจากนั้นแม้ว่านายกฯจมูกชมพู่จะถูกขับพ้นจากตำแหน่งเพราะไปรับจ้างทีวีทำกับข้าวออกอากาศไปแล้ว พรรคการเมืองเดิมนี้ก็ส่งน้องเขยของอดีตผู้นำที่อยู่นอกประเทศเพราะหนีคดีไปนั้นขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็เป็นนายกรัฐมนตรีที่ย่างเหยียบเข้าไปในทำเนียบไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องมีการจับขั้วกันใหม่ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่บ้านเมืองก็ไม่สงบเรียบร้อย กระนั้นนายอภิสิทธิ์ก็ลากรัฐบาลไปได้จนครบเทอมและมีการเลือกตั้งใหม่ใน พ.ศ. 2554 อันเป็น “ย้อนคืน” สังคมไทยกลับไปสู่ยุค “ซาตานครองเมือง” อย่างเต็มตัว เพราะน้องสาวของซาตานตนนั้นได้ขึ้นสู่อำนาจได้อย่างง่ายดาย โดยใช้เวลาเพียง 40 กว่าวัน ตั้งแต่วันที่ถูกเสนอชื่อให้เป็นหัวหน้าพรรคและลงเลือกตั้ง นั่นจึงแสดงว่า “ระบอบชั่ว - ลัทธิเลว” นี้ได้ครอบครองประเทศไทยได้แล้วในระดับหนึ่ง
ในทำนองเดียวกัน คณะทหารที่ทำการยึดอำนาจรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ก็ดูเหมือนจะปฏิบัติต่อคนในตระกูลนี้อย่าง “ละมุนละม่อม” (พฤติกรรมแบบนี้นี่เองที่ทำให้ผู้คนจำนวนหนึ่งเชื่อว่าทหารได้ “เกี้ยเซียะ” กับผู้นำชั่วบางคนเรื่อยมา อย่างที่ปรากฏข่าวเรื่อง “ดีลลับ” ตรงโน้นตรงนี้มาโดยตลอด) ที่สุดเมื่อจะเอาอดีตนายกฯหญิงคนนี้มารับโทษคดีจำนำข้าว ก็มีการช่วยเหลือกันให้หลบหนีออกไปทาง “ช่องทางธรรมชาติ” ได้อย่างง่ายดาย จนกระทั่งท้ายที่สุดยินยอมให้อดีตนายกฯนักโทษหนีคดีเข้ามาเหยียบแผ่นดินไทย “อย่างมีเกียรติสูงส่ง” พร้อมกับการยักย้ายถ่ายเทเป็นบุคคลระดับวีวีไอพี ไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว เป็น “นักโทษทิพย์” อยู่บนชั้น 14 จนกระทั่งได้รับอภัยโทษและรับใบบริสุทธิ์ ออกมาเดินปร๋อ “ชูคอ -ฟาดหาง” กร่างเหนือคนไทยในทุกหนแห่ง
วันที่เขียนบทความนี้ รัฐบาลใหม่ที่มีนายกรัฐมนตรี “แม่ลูกอ่อน” กำลังจะเข้าเฝ้าถวายสัตย์ต่อพระเจ้าอยู่หัว ก่อนที่จะเข้าปฏิบัติหน้าที่ต่อไป สื่อมวลชนบางแห่งเรียกรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีชุดนี้ว่า “ผู้สืบสันดาน” ตามภาษากฎหมายก็หมายหมายถึง ผู้ที่มีเชื้อสายมาจากพ่อแม่หรือสายเลือดเดียวกัน แต่เมื่อมาใช้ในทางการเมืองก็มีนัยได้หลายอย่าง
อย่างแรก ก็ตีความตามตัวได้ว่าเป็นรัฐมนตรีที่ร่วมเชื้อสายกันกับคนที่เป็นหรือเคยเป็นรัฐมนตรี เช่น นายกรัฐมนตรีก็เป็นลูกสาวของอดีตนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีบางกระทรวงก็เป็นลูกของอดีตรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีบางคนก็เป็นน้องของอดีตรัฐมนตรี เป็นต้น
อย่างต่อมา ที่ใช้ในทางกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ก็คือผู้ที่ต้องได้รับผลตามกฎหมายเฉกเช่นเดียวกับบุพการีและผู้ร่วมเชื้อสายคนอื่น ๆ เช่น ในเรื่องของมรดกและทรัพย์สิน การสืบทอดธุรกิจ ตลอดจนการรับโทษต่าง ๆ ในทางกฎหมาย นั่นก็คือในกรณีที่บุพการีและคนในวงศ์ตระกูล “ก่อกรรมทำดีมา” ก็จะได้เป็นผู้สืบทอดความสำเร็จและความรุ่งเรืองนั้น แต่ถ้าบุพการีและคนในวงศ์ตระกูล “ก่อกรรมทำชั่วมา” ก็คงจะต้องมารับกรรมรับทุกข์แทนบุพการีนั้นจนกระทั่งถ่ายทอดไปถึง “ผู้สืบสันดาน” ในรุ่นต่อ ๆ ไป จนกว่าจะหมดเวรหมดกรรม หรือ “พ้นโทษ”
อย่างสุดท้าย มองในแง่การเมือง สื่อที่ตั้งฉายาแบบนี้อาจจะมองว่า “สันดาน” เป็นคำไทยที่มีความหมายลบมากกว่าบวก เช่น เมื่อเรียกใครว่า “ไอ้สันดาน” ก็จะหมายถึงการที่คน ๆ นั้นคงจะทำอะไรไม่ดีเข้าสักอย่าง เพราะฉะนั้นเมื่อเราแทนคำว่า “ไอ้” ด้วยคำว่า “รัฐบาล” หรือ “คณะรัฐมนตรี” ทั้งยังเอาคำว่า “สืบ” มาเชื่อมความเข้าด้วยกัน ก็น่ากลัวจะเป็นไปได้ที่สื่อเหล่านี้อาจจะมองเห็นว่า รัฐบาลนี้อาจจะกำลัง “สืบต่อ - สืบทอด” อะไรที่ไม่ดี ตามที่บรรพบุรุษหรือบุพการีนั้นได้ทำไว้ด้วยหรือไม่
สัปดาห์หน้าเราคงจะต้องมาช่วยกันหาวิธี “ควบคุม - กำจัด - ป้องกัน” ไม่ให้ “ระบอบชั่ว - ลัทธิเลว” นี้ได้เติบโตงอกเงยขึ้นได้ในสังคมไทย จะมีวิธีการอะไรอย่างไรบ้างนั้น คงต้องช่วยกันอย่างเต็มที่จริง ๆ
หาไม่สังคมไทยจะหมดความเชื่อถือใน “คุณงามความดี” และหันไปนับถือ “ความเชื่อความเลว” นี้ไปหมด