ทวี สุรฤทธิกุล

ปัจจุบันประเทศไทยกำลังปกครองด้วยระบอบอย่างหนึ่ง ที่เชื่อว่า “ความชั่ว - ความเลว” จะทำให้บุคคลมีอำนาจเหนือผู้อื่น กระทั่ง “มีอำนาจล้นฟ้า” สูงสุดในแผ่นดิน

“ความชั่ว” คือสิ่งไม่ดีที่มีอยู่ในจิตใจ บางทีก็ไม่มีใครรู้ จนกว่าจะได้แสดงออกมาให้คนอื่นได้เห็น เกิดการกระทำที่ไม่ดีก็จะเรียกว่า “ความเลว”

ชายคนหนึ่ง(ที่การเขียนแนวนี้คงจะออกชื่อไม่ได้ เพราะกฎหมายท่านบอกว่าจะไปด่าใครเสีย ๆ หาย ๆ ไม่ได้ แม้จะเป็นความจริงก็ตามที)สมมุติว่าชื่อ “โทนี่” จะมีความชั่วความเลวมาแต่กำเนิดหรือสืบเชื้อสายมาแต่บรรพบุรุษอย่างไรก็ไม่มีใครทราบ แต่ในภาพที่ปรากฏตลอดมา หลายคนเชื่อว่ามันเป็น “ความชั่วความเลวโดยเจตนา” และน่าจะมีการคิดวางแผนสร้างขึ้นด้วยตัวเอง จนกระทั่งสำเร็จเป็นลัทธิออกมาเผยแพร่แก่สาธารณชนมาโดยลำดับ

ก่อนอื่นต้องขอเสนอความรู้ทางวิชาการสักเล็กน้อย เพราะผู้เขียนเคยขึ้นศาลเป็นพยานให้แก่อัยการในคดีความมั่นคงมาหลายคดี จึงพอรู้มาบ้างว่าถ้าเป็นการแสดงความคิดเห็นอย่างบริสุทธิ์ใจ หรือตามจรรยาวิชาชีพแล้ว ก็อาจจะไม่ต้องรับโทษในความผิดนั้น เช่น ผู้เขียนเป็นนักวิชาการ หากแสดงความคิดเห็นด้วยหลักวิชาและข้อมูลทางวิชาการแล้ว ก็น่าจะพ้นข้อหาว่าเจตนาหมิ่นประมาทบุคคลต่าง ๆ นั้นได้

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็เป็นปุถุชนคนธรรมดาด้วยคนหนึ่ง ย่อมมีอารมณ์และความเชื่อส่วนตัวที่เป็นไปได้ต่าง ๆ ตามบรรยากาศและกระแสสังคม เช่นในเวลานี้คนเบื่อการเมือง เพราะมีแต่ความชั่วช้าเลวทรามต่าง ๆ ทางการเมือง ก็อดที่จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์ และเผลอ “ด่า” นักการเมืองบางคนไม่ได้ ทั้งนี้ที่ด่าไปก็เพื่อหวังว่าประเทศไทยจะดีขึ้น และเราจะได้มีความหวังว่าสังคมนี้จะได้หมดสิ้น “ความชั่ว - ความเลว” เสียที

คนที่ไม่ได้เรียนรัฐศาสตร์อาจจะสับสนพอสมควรว่า “ระบบ - ระบอบ - ลัทธิ” มันหมายถึงอะไรและเกี่ยวข้องกันอย่างไร ผู้เขียนจึงขออนุญาตที่จะอธิบายให้เห็นความเชื่อมโยง เพื่อจะบอกว่าประเทศไทยกำลังจะถูกปกครองด้วยระบอบหนึ่งที่น่ากลัว อันเกิดจากการแทรกซึมของลัทธิที่มีคนชั่วคนเลวคนหนึ่งสร้างขึ้น โดยมันได้ไปปรากฏให้ทุกคนได้เห็นอยู่ในหลาย ๆ ระบบทางการเมืองการปกครอง

แรกเริ่ม สังคมมนุษย์มีแค่พ่อแม่ลูก ๆ และเครือญาติ ก็มีกฎของบ้านปกครองดูแลกัน แต่พอสังคมขยายขึ้น ตั้งแต่เป็นหมู่บ้าน เป็นเมือง และเป็นประเทศ เราก็ต้องใช้กฎต่าง ๆ มาควบคุมมากขึ้น ๆ แรก ๆ ก็เป็นกฎที่สร้างขึ้นง่าย ๆ จากความเชื่อร่วมกัน เรียกว่าจารีต เช่น การเคารพเชื่อฟังผู้อาวุโส การแบ่งปันน้ำท่าป่าเขา มีเจ้าป่าเจ้าเขาที่ต้องเคารพนับถือ แล้วก็มีพิธีกรรมบูชาสรรเสริญหรือวิงวอนร้องขอ เกิดเป็นวัฒนธรรมประเพณี ซึ่งก็คือการสร้างกฎเพื่อจัดระเบียบทางสังคมอย่างหนึ่ง เราเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นจากความเชื่อร่วมกันนี้ว่า “ลัทธิ”

ประมาณ 2000 ปีก่อน เมื่อเกิดรัฐชาติหรือการปกครองในระดับประเทศ เมื่อมนุษย์จำต้องขยายอาณาเขตเพื่อแสดงอำนาจ ก็จำเป็นจะต้องมีการสร้างพลังอำนาจให้เกิดขึ้นในตัวผู้นำด้วย เพื่อให้ข้าศึกยำเกรง ผู้ปกครองจึงไม่ได้เป็นแค่นักรบธรรมดา แต่ต้องเป็น “เทพจุติ” หรือได้รับ “อาณัติ” จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ รวมถึงพระผู้เป็นเจ้า อันเป็นที่มาของ “ลัทธิเทวสิทธิ์” แล้วเรียกการปกครองแบบนั้นว่า “เทวราชา” หรือ “ระบอบกษัตริย์”

คำว่า “ระบอบ” จึงหมายถึงการนำลัทธิมาสร้างให้เป็นวิธีการหรือรูปแบบการปกครองนั่นเอง

ต่อมาเมื่อประมาณ 500 ปีก่อน ภายหลังจากที่ความเชื่อทางวิทยาศาสตร์รุ่งเรืองขึ้นในยุโรป ลัทธิเทวราชาก็เสื่อมลง เกิดความเชื่อใหม่ว่าอำนาจทางการปกครองมีมนุษย์เป็นผู้สร้างและกำหนดขึ้นเอง โดยอำนาจนั้นอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน เพียงแต่พวกเขามอบหมายให้คนหรือกลุ่มคนบางคนบางกลุ่มขึ้นมามีอำนาจหรือใช้อำนาจ “แทน” เขา อันเป็นต้นกำเนิดของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่ประชาชนไปใช้อำนาจของเขาผ่านการไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ที่เราเรียกกันว่า “ระบบรัฐสภา”

“ลัทธิ” ที่เชื่อในอำนาจว่ามาจากประชาชน ได้นำมาสู่วิธีการปกครองที่ที่เรียกว่า “ระบอบประชาธิปไตย” โดยมีรัฐสภานั้นใช้อำนาจแทนประชาชน ผ่านตัว “ระบบ” ต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นมารองรับ เช่น พรรคการเมือง ระบบราชการ และการตรวจสอบถ่วงดุลต่าง ๆ

ยกตัวอย่างประเทศไทย ก่อนหน้าการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เราปกครองด้วย “ระบอบ” สมบูรณาญาสิทธิราช ด้วย “ลัทธิ” ซึ่งก็คือความเชื่อที่ยึดถือกันมาแต่โบราณว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ “ระบบ” การปกครองทั้งหลายจึงเป็นไปเพื่อถวายพระราชอำนาจแก่พระมหากษัตริย์ เช่น ข้าราชการ รวมถึงที่ดินและทรัพย์สินต่าง ๆ ในประเทศ ก็เป็นของพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น ต่อมาเมื่อคณะราษฎรยึดอำนาจได้แล้ว ก็พยายามทำให้คนไทยเชื่อว่า ประเทศไทยกำลังจะปกครองด้วย “ลัทธิ” ที่ประชาชนเป็นใหญ่ ที่เรียกว่า “ระบอบ” ประชาธิปไตย โดยมี “ระบบ” รัฐสภา” เป็นตัวแทนการใช้อำนาจของประชาชน

สังคมไทยทุกวันนี้กำลังพูดถึง “ระบอบทักษิณ” ซึ่งผู้เขียนเคยขยายความไว้เมื่อสองเดือนก่อนในบทความนี้ว่า มันไม่ใช่แค่ “ระบอบ” แต่มันเป็น “ลัทธิ” ที่ผู้เขียนตั้งชื่อว่า “ตั๊กสินิสซึ่ม -ลัทธิอุบาทว์” สำหรับท่านที่ยังไม่ได้อ่านหรือไม่อยากย้อนกลับไปอ่าน ก็จะขอสรุปไว้ตรงนี้อีกทีว่า มันคือ “ลัทธิฮุบอำนาจทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยมีพื้นฐานแนวคิดคือความเชื่อว่า อำนาจต้องมีให้ได้ แม้จะด้วยความชั่วความเลวเพียงใดก็ทำได้ทั้งสิ้น”

คนที่คิดแบบนี้ได้จะเป็นคนเลวโดยกำเนิดหรือสืบสันดานจากใครมาก็ไม่อาจจะยืนยันได้ แต่แน่นอนว่า มันเป็นความคิดที่เป็นระบบ ดังนั้นเมื่อมันเป็นความคิด มันจึงเป็น “ลัทธิ” และเมื่อมันเข้าไปครอบงำการปกครองประเทศ มันจึงกลายเป็น “ระบอบ” และขณะนี้มันก็กำลังสร้าง “ระบบ” ต่าง ๆ ตามมา

คงต้องยกไปอธิบายในสัปดาห์หน้าว่า “ลัทธิ” ที่เชื่อมั่นใน “ความชั่ว - ความเลว” นี้ มันได้สร้างระบบอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว และกำลังจะสร้างความหายนะอะไรต่อไป ซึ่งเมื่อมันชั่วร้ายสารเลวขนาดนั้น เราจะป้องกันหรือทำลายมันได้หรือไม่

ตอนนี้ให้มันตั้งรัฐบาลให้ได้ก่อน ระบบแรกที่จะพังไปกับมันก็คือระบบรัฐสภา เพราะประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการตั้งนายกรัฐมนตรี ซึ่งประธานรัฐสภาอาจจะมีชะตากรรมเช่นเดียวกันกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนก่อน ที่ถูกบังคับให้ตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี

พ่อของว่าที่นายกรัฐมนตรีประกาศบนเวทีแสดงวิสัยทัศน์ว่า “ไม่กลัวนักร้อง” ก็คงไม่ไต้องเจอครับ เพราะตอนนี้ “หางเครื่อง” ซึ่งก็คือคนที่ทนกับความชั่วความเลวของคนตระกูลนี้ไม่ได้ กำลังจะลุกขึ้นมา “เต้น” ลงโทษคนบางตระกูลทั้งประเทศ