เสรี พงศ์พิศ

Fb Seri Phongphit

ทุกยุคสมัยทั่วโลก เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่ว่าแบบใด เหตุผลสำคัญ คือเรื่องจริยธรรม อ้างว่าฉ้อฉล คอร์รัปชั่น แต่เมื่อเข้ามามีอำนาจ ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ต่างไปจากอำนาจเดิม

ฝ่ายค้านทุกรัฐบาลทำหน้าที่ตรวจสอบ “ธรรมาภิบาล” ต่างก็อ้างเรื่องจริยธรรม เมื่อตนเองได้เป็นรัฐบาลก็ถูกตรวจสอบเพราะไม่ได้มีพฤติกรรมแตกต่างไปจากรัฐบาลเดิม

องค์กรอิสระของไทยก็ใช้ “จริยธรรม” เพื่อ “ตัดสิน” คดีของนักการเมือง ไม่ว่าจะทำเกินอำนาจหน้าที่หรือไม่ อย่างไร จริยธรรมก็เป็นเครื่องมือที่นักการเมืองใช้เพื่อห้ำหั่นกัน

ประเด็นวงจร “อำนาจกับจริยธรรม” จึงควบคู่ไปกับการเมืองเสมอมา เป็นอะไรคล้ายกับ “สามานย์ที่เป็นสามัญ” หรือ “ความชั่วร้ายที่กลายเป็นเรื่องธรรมดา” (The Banality of Evil) ที่ฮันนาห์ อาเรนท์เคยบอกไว้ในรายงานการไปฟังการพิจารณาคดี อดอล์ฟ ไอค์มันน์ที่กรุงเยรุซาเล็ม ในปี 1961

เธออ้างว่า ไอค์มันน์อดีตแกนนำระดับสูงของนาซี ผู้ต้องรับผิดชอบต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวนั้น เขาทำลงไปเพราะหน้าที่ เพราะคำสั่งที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ เขาไม่มีทางเลือกอื่น

เธอมองว่าไอค์มันน์ทำเหมือนคนทั่วไปที่เชื่อฟังคำสั่งและทำตามความเห็นของมวลชนโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมาของการกระทำเหล่านั้น เธอบอกว่า ไอค์มันน์ไม่ใช่ผีร้าย ไม่ได้ชั่วร้าย ไม่ใช่ซาดิสต์ แต่เพราะเชื่อมั่นแบบตาบอดต่อระบอบการปกครองและความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของระบอบนั้น

เธอจึงพูดว่า มันเป็น “สามานย์ที่สามัญ” (banality of evil) การที่บอกว่าไอค์มันน์ไม่ได้คิด แปลว่าไม่มีจิตสำนึกต่อสิ่งที่ได้กระทำ โดยคำว่า “คิด” เธอหมายถึง “ความเป็นเหตุเป็นผล” ที่ขาดหายไป

เธอพยายามอธิบายต้นกำเนิดและธรรมชาติของความชั่วร้ายว่า คนมีส่วนร่วมกับอาชญากรรมความชั่วร้ายเพราะไม่สามารถพิจารณาอย่างวิพากษ์ มืดบอดต่ออุดมการณ์ เป็นหนทางเดียวที่เขารู้จักในโลกที่แปลกแยก ความร้อนรนแบบคิดไม่เป็น

เธออ้างค้านท์ นักปรัชญาเยอรมันผู้ให้หลักคิดเรื่องศีลธรรมว่า “เราต้องเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่ามนุษย์” แปลว่า ถ้าเมื่อใดที่มนุษย์เสนออะไรที่ไม่ดีที่ผิด ก็ต้องไม่ฟัง สำหรับค้านท์ หน้าที่ทางศีลธรรมอยู่เหนือหน้าที่ต่ออำนาจรัฐ แปลว่า คุณต้องไม่เชื่อฟังคำสั่งที่ผิดของอำนาจทางโลก ต้องให้ “ธรรมคืออำนาจ” ไม่ใช่ตรงกันข้าม

หลักคิดของอาเรนท์เป็นเรื่องว่าด้วย “ธรรมาภิบาล” และจริยธรรมหรือศีลธรรม อันเป็นอุดมคติที่ยึดถือกันมา ที่ค้านท์เรียกว่าเป็น “กติกาสากลทางศีลธรรม” (universal moral imperative) หากแต่ในความเป็นจริง ผู้มีอำนาจทางการเมืองอาจจะเชื่อ แต่ไม่ได้ปฏิบัติตาม

นักการเมืองหรือใครก็ตามเมื่อได้อำนาจมาก็ “หลงอำนาจ” คิดว่าตนเองทำอะไรก็ได้ มองข้ามกฏหมาย ไม่เห็นหัวประชาชน ทำทุกอย่างเพื่อให้อยู่ในอำนาจนานที่สุด

ปรมาจารย์ในเรื่องนี้ คือ มักเกียเวลลี ที่เขียนสรุปไว้ใน “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) เมื่อ 500 ปีก่อน

ที่บอกว่า เรื่องใหญ่สุด คือ อำนาจ ซึ่งเป็นหัวใจของการเมือง เขามองว่าสิ่งที่ศาสนจักรยกให้เป็นหลักศีลธรรมของปัจเจกบุคคลนั้นใช้ไม่ได้กับฝ่ายปกครอง ผู้ปกครองต้องจำไว้ว่า อำนาจเท่านั้นจะนำมาซึ่งความสำเร็จ และเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจจะใช้วิธีใดก็ได้ เพราะการเมือง คือ การต่อสู้เพื่ออำนาจ การเมืองเป็นเรื่องอำนาจ

เหตุผลของการเป็นรัฐ (Raison d’Etat) คือนโยบายและแนวปฏิบัติเพื่อความมั่นคง เพื่อจะได้ส่งเสริมการอยู่ดีกินดีให้ประชาชน รัฐจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อจะได้ปกป้องความมั่นคงของรัฐ วิธีใดก็ได้ เรื่องศีลธรรมและจริยธรรมให้แยกออกจากเรื่องการเมือง อย่าเอามาปะปนกัน รัฐจะต้องเข้มแข็งพึ่งตนเองได้ มีกองทัพ มีรัฐบาลที่เข้มแข็งและเป็นหนึ่งเดียว ประชาชนก็สามัคคี มีรากฐานเศรษฐกิจที่มั่นคง

การเมืองเป็นเกมอันตรายที่ไม่อาจเล่นได้ด้วยวิธีธรรมดาสามัญหรือตรงไปตรงมา เพราะจุดประสงค์สำคัญประการแรก คือความรับผิดชอบต่อชีวิต การรักษากฎหมายและระเบียบ และการอยู่ดีกินดีของผู้คน จึงต้องมีเครื่องมือที่เหมาะสม

มักเกียแวลลีบอกว่า รัฐอยู่เหนือประชาคมหรือสมาคมใดๆ ในสังคม เป็นอำนาจสูงสุด เจ้าผู้ปกครองจะไม่ถูกผูกมัดด้วยกฎแห่งศีลธรรมหรือศาสนา เขาอยู่เหนือศีลธรรม และใช้ศาสนาเพื่อบรรลุเป้าหมาย ศาสนาไม่อาจมีอิทธิพลเหนือการเมือง รัฐตั้งอยู่บนฐานที่แตกต่าง จึงต้องพิจารณาตัดสินจากมาตรฐานอื่น

อำนาจรัฐเป็นเป้าหมาย ศาสนาเป็นส่วนหนึ่งและเครื่องมือของรัฐ รัฐไม่มีองค์ประกอบเหนือธรรมชาติใดๆ เกิดมาเพื่อตอบสนองความต้องการทางวัตถุให้ประชาชน เขาแยกรัฐศาสตร์จากเทวศาสตร์ แยกรัฐบาลจากศาสนา การเมืองเป็นกิจกรรมอิสระที่มีกฎเกณฑ์และกฎหมายของตนเอง

มักเกียเวลลีบอกว่า การเมืองมีสองมาตรฐาน มาตรฐานหนึ่งของชนชั้นปกครอง อีกมาตรฐานหนึ่งสำหรับประชาชน ศีลธรรมไม่จำเป็นสำหรับผู้ปกครอง ซึ่งเป็นผู้สร้างกฎหมายและศีลธรรม จึงอยู่เหนือทั้งสองอย่าง เจ้าผู้ปกครองมีหน้าที่ปกป้องรักษารัฐไม่ว่าด้วยวิธีใด แม้แต่การโกหกหลอกลวง แผนคบคิดชั่วร้าย (ทฤษฎีสมคบคิด) การฆ่าคน ฆ่าหมู่ และอื่นๆ เพราะศีลธรรมสูงสุดเป็นไปไม่ได้และไม่พึงปรารถนาในการเมือง

อย่างไรก็ดี เขายืนยันว่า ศีลธรรมสำคัญยิ่งสำหรับประชาชน เพราะคนมีศีลธรรมเท่านั้นที่จะเชื่อฟังกฎหมายและเสียสละชีวิตเพื่อชาติ ศีลธรรมสร้างสำนึกและจิตวิญญาณการเป็นพลเมืองและความรักชาติ นี่คือแนวคิดสองมาตรฐานทางการเมืองของมักเกียแวลลี บิดาของเผด็จการที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อำนาจและรักษาไว้

สี่ร้อยปีต่อมา อันโตนิโอ กรัมชี นักปรัชญานักปฏิวัติชาวอิตาเลียนบอกว่า การใช้อำนาจของฝ่ายปกครองไม่ได้มีแต่ตุลาการ ทหาร ตำรวจ กฎหมาย การใช้กำลัง แต่ล้ำลึกกว่านั้น คือ ใช้อำนาจนำทางวัฒนธรรม (cultural hegemony) ครอบงำประชาชน จนไม่ลุกขึ้นมาต่อสู้ต่อต้าน ยอมรับยอมทำทุกอย่างตามที่ผู้มีอำนาจต้องการ

กรัมชีถูกมุสโสลินีจับขังจนตายในคุก ไม่ต่างจากคนที่เห็นต่างและต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนไม่ว่าที่ไหน รวมทั้งที่ประเทศไทย