ทวี สุรฤทธิกุล
คนเก่งวรรณคดีไม่ใช่มีแต่พวกที่เรียนอักษรศาสตร์ พวกที่เรียนนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ก็ “เก่งเอาเรื่อง” อยู่เหมือนกัน
คือมีองค์กรหนึ่งที่มีนักนิติศาสตร์และนักรัฐศาสตร์มารวมกัน แล้วเรียกว่า “ศาลแห่งหนึ่ง” สมัยก่อนเคยตัดสินคดีที่นักการเมืองคนหนึ่ง “ซุกหุ้น” ไว้กับคนใช้และคนขับรถ ที่สุดก็ตัดสินว่าไม่ผิด เป็นแค่ “บกพร่องโดยสุจริต” แล้วนักการเมืองคนนั้นก็ได้ครองเมืองอยู่ในช่วง พ.ศ. 2544 ถึง 2549 สร้าง “วีรเวร - ทุรกรรม” ให้กับคนไทยและประเทศไทยมโหฬาร ก่อนที่จะถูกทหารยึดอำนาจแล้วหนีไปอยู่ต่างแดนเสีย 17 ปี ก่อนที่จะกลับมาเมื่อเดือนสิงหาคมปีกลายนี้ และกำลังจะแสดง “อภินิหาร” เหนือหลาย ๆ สถาบันของประเทศไทย ยังดีที่เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา “ศาลดี ๆ” แห่งหนึ่งท่านไม่ได้ให้นักการเมืองคนนี้ ที่กำลังมีคดีความหมิ่นพระมหากษัตริย์ ออกนอกประเทศ เพื่อรอรับอาญาได้ติดคุกจริง ๆ เสียที แต่ว่ากันว่าถ้าในวันที่ 14 สิงหาคมที่จะถึงนี้ นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ต้องมีอันเป็นไปในคำตัดสินของ “ศาลแห่งนั้น” ที่ได้ไปแต่งตั้ง “ทุบุรุษ” นายหนึ่งเป็นรัฐมนตรี นักการเมืองหรือนักโทษชายหน้าเหลี่ยมคนนี้ก็จะผลักดันให้ลูกสาวของตัวเองได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี อย่างที่ใคร ๆ ก็ไม่อาจจะทัดทาน
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ก็มีเสียงร่ำลือว่า คำตัดสินของ “ศาลแห่งนั้น” อาจจะออกมาในทางที่แสดงความกรุณาปราณีแก่นายเศรษฐาอย่างไม่น่าเชื่อ คือมีข่าวว่าจะตัดสินว่า “ทำผิดโดยไม่ได้เจตนา” จากที่มีคนไปล่วงรู้ รวมถึงที่ “เนติบริกรระดับซือแป๋” ที่นายเศรษฐาตั้งขึ้น ได้แพลม ๆ ออกมา ในแนวทางที่จะต่อสู้หรือให้เหตุผลกับศาลว่า นายเศรษฐาไม่รู้เรื่องหรือเชี่ยวชาญในเรื่องงานธุรการที่มีการแต่งตั้งรัฐมนตรีต่าง ๆ ในตอนนั้น อีกทั้งนายเศรษฐายังเป็น “มือใหม่” ในระบบการบริหารราชการและในทางการเมือง จึงไม่ได้รู้เห็นในเรื่องการแต่งตั้งนี้ เพียงแต่ทำไปตามขั้นตอนและตามที่ฝ่ายข้าราชการประจำเป็นผู้เสนอมา
แปลง่าย ๆ ว่านายเศรษฐาไม่ต้องรับผิด ไม่มีความผิด และยังคงเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป
จาก “บกพร่องโดยสุจริต” มาถึง “ทำผิดโดยไม่ได้มีส่วนร่วม” หรือ “หนูไม่รู้”
เมื่อต้นปีนี้ “ศาลแห่งนั้น” ก็ได้ประดิษฐ์คำอันไพเราะเพราะพริ้ง (แต่ท่วมท้นไปด้วยทักษะทางวรรณคดีที่สูงล้น) ที่แม้แต่นักอักษรศาสตร์ก็คิดไม่ได้ หรือไม่เคยคิดว่าจะมีใครคิดได้มาก่อน ดังข่าวที่หลาย ๆ สื่อเสนอว่า
“วันที่ 31 ม.ค. ศาล...มีคำวินิจฉัยให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 1-2 เสนอร่างกฎหมายเพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ตามที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร เป็นผู้ร้อง ศาลเห็นว่าการเสนอร่างกฎหมายและใช้เป็นนโยบายหาเสียง มีเจตนาเซาะกร่อน บ่อนทำลายสถาบันฯ เป็นเหตุให้ชำรุด ทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง นำไปสู่การล้มล้างการปกครองในที่สุด”
ผู้เขียนก็เป็นนักรัฐศาสตร์ด้วยคนหนึ่ง เลยมีอารมณ์ร่วมเขียนเป็นกลอนขึ้นง่าย ๆ ว่า
“น่าสมเพชเจตนามาเซาะกร่อน เป็นพวกบ่อนทำลายล้างช่างน่าหัว
ให้ชำรุดทรุดทรามความน่ากลัว ชั่วใช่ตัวแต่ล้มล้างพังหมดเมือง”
ดังนั้นถ้าในวันที่ 14 สิงหาคมนี้ “ศาลแห่งนั้น” ท่านตัดสินว่านายกฯเศรษฐาไม่มีความผิดเรื่องแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน ให้เป็นรัฐมนตรี ด้วยเหตุผลตามที่มีข่าวลือหลุดออกมาว่า “ไม่ผิดเพราะไม่มีเจตนา” ผู้เขียนก็ขออนุญาต “เผือก” เขียนคำตัดสินเป็น “กลอน(ไม่ค่อย)สุภาพ” ดังนี้
“ดูกะระ ส.ว. สี่สิบท่าน ที่ท่านฟ้องมานั่นน่าอดสู
นายกฯมีเจตนาใดท่านไม่รู้ ข้าราชการสิสู่ใส่เกือกมา
นายกฯมีปากกาก็มาเซ็น จะไปรู้ไปเห็นอะไรหนา
ขายแต่บ้านที่ดินเลี้ยงกายา ตัดสินว่ามิผิดใดท่านไม่รู้ (อิอิ)”
หรืออาจจะแปลงเป็นร้อยแก้วตามแนวที่ “ศาลแห่งนั้น” ท่านถนัด ก็อาจจะเขียนให้เป็นประโยคร้อยเรียงกันหรู ๆ ได้ว่า “ตามที่สมาชิกวุฒิสภาจำนวน 40 ท่านได้นำเรื่องนี้มาสู่ศาลนั้น ศาลได้พิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนเกือบ 3 เดือนแล้ว มีความเห็นแทบจะเป็นเอกฉันท์ว่า ท่านนายกรัฐมนตรีไม่มีความผิด ด้วยไม่ได้มีเจตนาและไม่ได้ร่วมรับรู้ด้วยทั้งหมด แต่เป็นด้วยข้าราชการตั้งเรื่องขึ้นมาตามขั้นตอน เพียงแต่ท่านนายกรัฐมนตรีมีปากกาต้องเซ็นก็เซ็นไป จะมีส่วนรู้เห็นหรือร่วมกระทำผิดใดใดก็หาไม่...”
เขาว่าผู้มีอำนาจส่วนหนึ่งในสังคมไทยเป็นพวก “ศรีธนญชัย” เต็มไปด้วยคนปลิ้นปล้อนตลบตะแลง ก็จะได้เห็นกันอีกครั้งในครั้งนี้ว่าเป็นจริงอย่างนั้นหรือไม่ ผู้เขียนเองก็แค่ “ตีปลาหน้าไซ” เคาะกะโหลกกะลาให้บันเทิงใจ อย่างที่หลวงวิจิตรวาทการได้เขียนเป็นกลอนเตือนใจไว้ ซึ่งในตอนท้ายบอกว่า “แต่คนที่ควรชมนิยมกัน ต้องใจมั่นยิ้มได้เมื่อภัยมา” คือพยายามนั่งชมด้วยความหรรษา “ยิ้มสู้” อยู่เสมอ
อีกร้อยกรองหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมาก ในเวลาที่มีการแสดงอำนาจต่าง ๆ ทำให้มองเห็นว่าใครเป็นผู้มีอำนาจจริง ๆ ก็คือโคลงสี่บทหนึ่งในโคลงโลกนิติ ที่บอกว่า
“นาคีมีพิษเพี้ยง สุริโย
เลื้อยบ่ทำเดโช แช่มช้า
พิษน้อยหยิ่งโยโส แมลงป่อง
ชูแต่หางเองอ้า อวดอ้างฤทธี”
แต่พอผู้เขียนเห็นอาการของคนบางคนที่ “ดิ้นแดโดย” พลุ่งพล่านแสดงอาการ “เสียอารมณ์ออกมา เพียงแค่ศาลท่านไม่ให้ “หนี” ออกนอกประเทศอีกครั้ง ก็เลยมองเห็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่น่าสมเพชเวทนานักหนา นั่นก็คือ “พยาธิ” จึงเขียนด้วยอารมณ์กลอนพาไปออกมาดังนี้
“หากินในลำไส้ ผู้คน
แต่ยังคิดสัปดน ทำร้าย
เมื่อเวรกรรมถึงตน โดนยา ถ่ายเฮย
พยาธิชั่วก็โยกย้าย หาร่างใหม่กิน”
วันนี้อารมณ์กลอนออกจะมีมากหน่อย ก็เพื่อไม่ให้ทุกท่านเครียด หาก “พยาธิชั่วร้าย” นั้นมันยังต้องอยู่ในท้องคนไทย หรือในแผ่นดินไทยนี้ต่อไป
ถ้า “ยาถ่าย” หรือกฎหมายต่าง ๆ เอามันไม่อยู่ ก็คงต้องลงถนนจับเอามันมาขึงพืดแล้วช่วยกันกระทืบอีกสักหน