สถาพร ศรีสัจจัง
ทั้ง 2 สายสกุลหลัก ที่เกี่ยวกับการศึกษา “สังคมมนุษย์” ของนักวิชาการตะวันตก อันมีร่องรอยหลักฐานชัดเจนอยู่ที่ยุค “นครรัฐ” “กรีก” คือสายสกุลที่เรียกกันในปัจจุบันว่า “ทฤษฎีว่าด้วยโครงสร้างหน้าที่” (The Structural Functionalism) และ “ทฤษฎีว่าด้วยความขัดแย้ง” (The Theory of Conflict) ล้วนให้ข้อสรุปตรงกันว่า มนุษยชาติสายพันธุ์ “เซเปียนส์” เมื่อเริ่มรวมตัวกัน เป็นกลุ่มเป็นสังคมแล้วนั้น ก็มีพัฒนาการที่สำคัญ จนถึงปัจจุบันอย่างน้อย เป็น 3 ขั้นตอนหลักๆ
คือ ผ่านจากยุคพึ่งพิงธรรมชาติ เข้าสู่ยุคเกษตรกรรม แล้วพัฒนาเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม (Industrial Era)
ในที่นี้เราจะข้าม การพูดถึงรายละเอียด เกี่ยวกับเรื่องยุคก่อนประวัติศาสตร์-ยุคประวัติศาสตร์ หรือ ยุคหินเก่าหินใหม่ ของการแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์มนุษย์แบบกระแสหลัก และ เรื่อง ยุคชุมชนคอมมูนบุพกาล-ยุคทาส-ยุคศักดินา ตามแบบการแบ่งของฝ่ายชาวลัทธิมาร์กซ์ (Marxist)ไปก่อน
แต่ถ้าจำเป็นต้องอ้างถึงก็ค่อยว่ากันอีกที
กล่าวโดยทั่วไป คงจะพูดได้ว่า คนที่ผ่านระบบการศึกษาภาคบังคับของประเทศไทย มาเรียบร้อยแล้วถ้าสมองไม่พิการหรือ “กลวง” เกินไป(จบมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียกว่า ม.3 นั่นแหละ) ก็คงจะรับรู้(จะเข้าใจแบบตื้นหรือแบบลึกนั่นเป็นอีกเรื่อง)เรื่องทั่วๆไปของมนุษย์ยุคแรกๆที่ยังใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติแบบพึ่งพิงอยู่(หาอยู่หากินโดยการเก็บเกี่ยวจากธรรมชาติโดยตรง)
ยุคเบื้องต้นดังกล่าวนั้น ฟังว่า มนุษย์พึ่งพิงธรรมชาติโดยตรง การดำรงชีวิตเป็นไปด้วย “สัญชาตญาณ”(Instinct) ล้วนๆ
การอยู่ร่วมกันเป็น “สังคมกลุ่ม” ก็เป็นไปเพราะ “แรงผลักดัน” ของธรรมชาติแห่งสัญชาตญาณล้วนๆ กล่าวคือ ด้านหลักเกิดจาก “สัญชาตญาณของความต้องการมีชีวิตรอด” ทั้งในการแสวงหาอาหาร การปกป้องต่อสู้กับสิ่งอื่นๆในสิ่งแวดล้อม
รวมไปถึงเพื่อสนองตอบเรื่อง “ความสัมพันธ์ทางเพศ” (sexual intercourse) ที่เกิดจาก “แรงขับ” (drive) ทางธรรมชาติอันจะก่อให้เกิดการแพร่เผ่าพันธุ์
อันนี้ยังศึกษาไม่พบชัดเจนว่า “ความต้องการสืบต่อเผ่าพันธุ์” เป็นสิ่งที่มีอยู่ในสัญชาตญาณที่เป็นธรรมชาติดั้งเดิมของ “เซเปียนส์” หรือ “มนุษย์” ยุคแรกเริ่ม (ที่ยังไม่มี “จริยธรรม” แบบ “มนุษย์” ยุคประวัติศาสตร์) หรือไม่อย่างไร?
หรือ “sexual intercourse” (การร่วมประเวณี) ของเซเปียนส์เป็นเพียง “แรงขับ” (drive) ทางธรรมชาติล้วนๆ (ไม่เกี่ยวกับสัญชาตญาณแฝงเร้นที่ต้องการจะสืบต่อเผ่าพันธุ์แต่อย่างใด) ที่เพียงต้องการ “ปลดปล่อย” ตาม “ความขัดแย้งภายใน” ในการทำงานของ “ต่อม” ต่างๆทางกายภาพ?
แต่ที่แน่ๆก็คือ “แรงขับทางเพศ” (sex drive) ที่ก่อให้เกิด “sexual intercourse” (การร่วมประเวณี) นี่เองที่ส่งผลทาง “สังคม” ของมนุษย์หลายประการให้เกิดตามมา
“เรื่องใหญ่” เรื่องหนึ่งที่ส่งผลอย่างสำคัญมากต่อสังคมมนุษย์ยุค “ชุมชนบุพกาล” (ที่มนุษย์ยังอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างพึ่งพิง) เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ การส่งผลให้เกิดกรณี “เพศเมีย” หรือ “ผู้หญิง” เป็นใหญ่ ในยุคดังกล่าว!
ทำไม “ผู้หญิง” จึงเป็นใหญ่ในยุคนี้?
(บรรดา “พ่อบ้าน” ในยุคปัจจุบันมักพูดเป็นทีเล่นทีจริงทำนองว่าก็เป็นใหญ่ในบ้านมาจนยุคปัจจุบันแหละน่ามีสักกี่บ้านกันละที่ “ผู้ชาย” หรือ “พ่อบ้าน” ได้ “เป็นใหญ่” ในทางเนื้อหาที่เป็นจริง!)
ตามทรรศนะของนักสังคม-มานุษยวิทยา (socio-anthropologist) บางสายสกุล อธิบายถึงเรื่องนี้ด้วยเหตุผลทางวิชาการหลายประเด็นด้วยกัน แต่ที่สำคัญก็คือ…
เพราะ “เด็ก” ที่เกิดใหม่เป็น “ทรัพย์สิน” ของแม่!
และเด็กคือ “แรงงานใหม่” ของกลุ่ม หรือชุมนุมมนุษย์นั้นๆ “แรงงาน” เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในสังคมยุคที่ยังต้องพึ่งพิงธรรมชาติโดยตรง!
นักวิชาการบางรายอธิบายอีกว่า ที่เด็กกลายเป็น “ทรัพย์สิน” ของแม่นั้น เป็นเพราะ ในยุคชุมชนบุพกาลนั้น “ผู้หญิง” เป็นเหมือน “ของกลาง” เมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ และ ถึงรอบวาระ “เป็นสัด” (คือมีแรงขับทางเพศที่จะต้อง “สืบพันธุ์”) เธอก็จะแสวงหา “คู่ผสมพันธุ์” ที่ “เหมาะสม” (วัย/ความแข็งแรง/บุคลิก และแรงดูดดึงอื่นๆ)
ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว เธออาจจะมีความสัมพันธ์ทางเพศกับชายหลายคนในกลุ่มตามเหตุแห่ง “ภววิสัย” (พื้นที่และเวลาที่เหมาะสม) ดังนั้น จึงไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเธอตั้งครรภ์กับผู้ชายคนไหนกันแน่
ยุคนี้ “เด็ก” จึงไม่รู้จักพ่อ แต่จะอยู่ในความดูแลเลี้ยงดู ตามสัญชาตญาณที่เป็นไปโดย “กฎธรรมชาติ” ของ “แม่”
เนื่องจาก “เด็ก” เซเปียนส์ เป็น “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม” ที่ไม่มี “วุฒิภาวะ” ที่สมบูรณ์ตั้งแต่หลุดจากครรภ์มารดา
“แม่” ต้องให้นมให้อาหาร และ “ปกป้อง” จากภยันตรายทั้งปวง เพื่อให้เด็กอยู่รอดตามสัญชาตญาณ “เด็ก” จึงรู้จักและผูกพันกับ “แม่” ในขณะที่ไม่รู้จักพ่อ!
“เด็ก” ซึ่งจะค่อยๆเติบโตขึ้นเป็น “แรงงานใหม่” ของกลุ่ม หรือชุมนุมมนุษย์นั้นๆ จึงกลายเป็นสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์บางกลุ่ม เรียกว่า “ทรัพย์สินเอกชน” (private property) ชนิดแรกๆที่มนุษย์รู้จัก
นี่เอง ที่เป็นเหตุผลสำคัญหนึ่งของการที่ทำให้ผู้หญิงเป็นใหญ่ในสังคมแบบชุมชนบุพกาล ที่มนุษย์ยังต้อง “พึ่งพิง” ธรรมชาติเป็นหลัก!!