มารไม่มี บารมีไม่เกิดนั้น อาจสรุปง่ายและสรุปเร็วเกินไป ในปัจจุบันที่มีสารพัดมาร จากสภาพสังคม เศรษฐกิจในปัจจุบัน และ“Digital Disruption” (ดิจิทัล ดิสรัปชัน) ที่เกิดขึ้นนั้น นอกจากปุถุชนทั่วไปอย่างเราๆท่านๆ จะครองตนและครองสติ ไม่ให้วิปลาสก็ยากยิ่งแล้ว จากสิ่งรบเร้าต่างๆ นักบวชในบวรพุทธศาสนาเองก็เผชิญความท้าทายอย่างยิ่ง
ปรากฏการณ์ที่เป็นปํญหาซ้ำๆ ที่ผ่านมาก็คือ พระชื่อดังในอดีตบางรูปนั้น ต้องตกเป็นข่าว “เสพเมถุน” ทำให้ต้องอาบัติปาราชิกไป ทฤษฎีเรื่องแผน “นารีพิฆาต” นั้น ถูกตั้งคำถามอยู่เสมอ ในหมู่ญาติโยมลูกศิษย์ลูกหาผู้ศรัทธา ที่เพ่งเล็งไปที่ “สีกา” เป็นต้นเหตุและอาจมีขบวนการเบื้องหลัง เรื่องผลประโยชน์ต่างๆภายในวัด หรือแม้กระทั่งทรัพย์สินส่วนตัวของพระ เป็นต้น
แม้จะมีข้อโต้แย้งว่า หากพระสงฆ์ผู้นั้นทำจิตใจให้เข้มแข็งและปฏิบัติอย่างเข้มงวดก็จะไม่เกิดกรณีดังกล่าวขึ้น เข้าตำราตบมือข้างเดียวไม่ดัง แต่กระนั้น กามราคะเป็นกิเลสที่ลดละยาก ขัดขวางไม่ให้ไปสู่หนทางบรรลุธรรม ของพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่ก็อย่างที่เราๆท่านๆ มักจะได้ยินเรื่องราว พฤติการณ์ของสีกาบางคน ในการเข้าหาพระชื่อดังนั้น ก็มีความสลับซับซ้อนไม่น้อยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาขบคิดกัน ก็เนื่องจากศาลเพิ่งจะตัดสินคดีหนึ่งที่โด่งดังมากเมื่อ2ปีก่อน โดยฝ่ายโจทก์ ซึ่งเป็นอดีตพระนักเทศน์ชื่อดัง ฟ้องร้องสีกาและพวก ซึ่งอ้างตนว่าเป็นพี่ชายในความผิดฐานร่วมกันกรรโชกทรัพย์ โดยในคำฟ้องนั้น มีพฤติการณ์ ขู่เข็ญเอาเงินสด เพื่อแลกกับการไม่เปิดเผยคลิปสนทนาในเชิงชู้สาว เป็นเงินหลักแสน ไม่เช่นนั้นจะนำคลิปและภาพถ่ายข้อความไปเปิดเผยต่อสื่อมวลชนและประชาชน และยังนำผู้อื่นที่อ้างว่ารู้เรื่องความสัมผันธ์มาร่วมข่มขู่ด้วย เพื่อเรียกรับเงินในจำนวนสูงขึ้นหลายแสนบาท คดีนี้ศาลตัดสินจำคุกและปรับจำเลยทั้ง 2 แต่รอลงอาญาเนื่องจากไม่เคยทำผิดมาก่อน
กระนั้น ท่ามกลางข่าวลบต่างๆ ของบุคคลในวงการศาสนา แต่ไม่ได้ทำให้ความศรัทธา ที่มีต่อพระพุทธศาสนาเสื่อมลงแต่อย่างใด และยิ่งใจยุคดิจิทัลนั้น เครื่องไม้เครื่องมือเทคโนโลยีต่างๆ กลับเป็นเครื่องเสริมให้เห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา ในการรักษาใจของผู้คนมากยิ่งขึ้น