เสรี พงศ์พิศ

Fb Seri Phogphit

มีข่าว “หมอดู” คนไทยแนะนำให้คนไทยในอเมริกายุโรปที่มีบ้าน ให้ขายบ้านและย้ายกลับมาประเทศไทย ที่นี่ปลอดภัยที่สุดเพราะจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3

ความจริง “สงครามโลก” ยุคใหม่เกิดมาพักใหญ่แล้ว เพียงแต่จะยกระดับใช้อาวุธนิวเคลียร์หรือไม่เมื่อใดเท่านั้น ถ้ามีผู้นำเกิดบ้าระห่ำขึ้นมาจริงๆ ก็อาจเกิดได้ แต่นั่นคงเป็นการฆ่าตัวตาย หรือความบ้าบัดซบ (absurdity) เพราะบรรดามหาอำนาจที่กำลังทำสงคราม (ตัวแทน) กันอยู่ต่างก็มีอาวุธมหาประลัยทำลายล้างสูงด้วยกัน

นี่ก็เป็นการทำนายเรื่อง “โลกแตก” จากน้ำมือมนุษย์ด้วยกัน ขณะที่คำทำนาย “โลกแตก” แบบเหตุการณ์จากธรรมชาติหรือเหนือธรรมชาติมีมานานนับร้อยๆ ครั้ง แต่ก็ยังไม่แตกสักที คนทำนายก็ตายไปหมดแล้ว

แต่นับวัน ปัญหาโลกแตกดูมากขึ้นทุกทีและทุกเรื่อง ทั้งเรื่องสงคราม เรื่องโลกร้อน เรื่องเศรษฐกิจที่ทำให้หลายประเทศกำลังจะล่มสลาย ทำให้ผู้คนเครียดและบ้ามากขึ้น ซึมเศร้าและฆ่าตัวตายมากขึ้น

ในสภาวะที่อับจนเช่นนั้น คนจำนวนมากหันไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ “สายมู” เข้มข้นกว่าเดิม สำนักหมอดูหัวกระไดไม่แห้ง ผู้คนอยากรู้อนาคต อยากรู้ทางออกชีวิตที่ดูจะมีแต่ทางตัน

หลายคนฉวยโอกาสที่ผู้คนเครียด เสนอ “คำตอบ” ส่วนใหญ่เป็นหมอดูหรือที่อ้างว่ามีญาณมีองค์มีเทพที่จำนวนดูไม่เคยลดลง มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น เพราะได้กลายเป็นธุรกิจที่ทำให้หลายคนรวยได้

โหราศาสตร์เป็นศาสตร์ ภูมิปัญญาของมนุษยชาติที่สืบทอดกันมา มีวิธีที่แตกต่างจากวิทยาศาสตร์ อย่าง “ดาราศาสตร์” เพราะมีวิธีการที่แตกต่างกัน แต่ก็เป็นศาสตร์ที่มีวิธีการที่ “เชื่อถือได้” ในระดับหนึ่ง เช่นเดียวกับภูมิปัญญาจากอดีตมากมาย ซึ่งว่าไปแล้ว ไม่ว่าศาสตร์ใด ใหม่หรือเก่าต่างก็มีข้อจำกัดทั้งสิ้น

นอกจากความเป็น “ศาสตร์” ในตำรา ยังมีเรื่องความสามารถพิเศษของแต่ละคน บางคนมี “ญาณ” ที่มองเห็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต มองเห็นสภาพชีวิตจิตใจของผู้คน และให้คำแนะนำที่ดี จนคนมีทุกข์ก็พ้นทุกข์ มีปัญหาก็แก้ไขได้ โดยไม่มีใครสนใจว่าเป็น “วิทยาศาสตร์” หรือไม่

ในพุทธศาสนามีเรื่อง “อภิญญา” ในปรจิตวิทยา (parapsychology) ก็มีมิติที่ 4 สัมผัสที่ 6 ในฟิสิกส์สมัยใหม่ไปไกลกว่านั้นมีถึง 10 มิติไปแล้ว

เรื่องราว “พิสดาร” ต่างๆ ในมิติที่เหนือจาก 3 มิติธรรมดามีมากมาย แต่วิทยาศาสตร์ก็มักยืนยันว่า “ยังพิสูจน์ไม่ได้” จึงไม่รับรองว่าเป็น “วิทยาศาสตร์” เมื่อก่อนนี้ดูถูกว่า “งมงายไสยศาสตร์” ไปเลย วันนี้ไม่ค่อยกล้า เพราะถ้า “ไม่มีคุณค่า” จริง คนคงเลิกเชื่อถือนานแล้ว

มีคนสงสัยนักว่า ทำไมคนยังเชื่อในเรื่อง “ลึกลับ” ต่างๆ แบบ “สายมู” ที่วิทยาศาสตร์ไม่รับรองบอกว่าพิสูจน์ไม่ได้ ตอบง่ายๆ ว่า เพราะคนเราไม่ได้ “เชื่อ” ในตรรกะของวิทยาศาสตร์เท่านั้น  แต่เชื่อใน “ตรรกะ” ของภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เชื่อและสืบทอดกันมาด้วย ซึ่งเป็นสองตรรกะที่แตกต่างกัน

อย่างเรื่อง “ผี” ที่ชาวบ้านทั่วไปเชื่อว่ามีจริง ไม่ใช่เพราะผีพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่เพราะ “ผีมีความหมาย” ให้แก่ชีวิตของตนเอง และตรรกะนี้ใช้ได้กับ “ทุกเรื่อง”  และไม่ใช่แต่ “สายมู” แต่เรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่เราไม่ได้อยู่กันด้วยเหตุผลหรือตรรกะอะไร แต่อยู่กันด้วย “อารมณ์-ความรู้สึก” และ “ญาณทัศนะ” หรืออาจเรียกอีกอย่างว่า “เหตุผลของหัวใจ” ที่ไม่ใช่ “เหตุผลของสมอง”

อย่างที่ปัสกาล ปราชญ์ชาวฝรั่งเศสบอกว่า “หัวใจมีเหตุผลที่สมองของเราไม่รู้จัก”

ทำไมคนโบราณจึงเชื่อในแม่ธรณี แม่โพสพ ผีบ้าน ผีเมือง ผีป่า ผีเขา ผีปู่ย่าตายาย เพราะพวกเขามีความสัมพันธ์กับ “ธรรมชาติ” และ “สิ่งเหนือธรรมชาติ” อีกแบบหนึ่งแตกต่างจากคนวันนี้

คนสมัยก่อนมีความสัมพันธ์กับธรรมชาติ กับผู้คนในชุมชน มี “ผี” ที่เป็นสายสัมพันธ์ เป็นกฎระเบียบ ขณะที่คนวันนี้ “แปลกแยก” (alienated) จากธรรมชาติ จากสังคม โดดเดี่ยว จึงมีชีวิตที่เหงาและเครียด

เรื่องราวของหมอดูและคนมีญาณบ้านเราจึงมีข้อดีที่ช่วยบรรเทาทุกข์ของผู้คนได้บ้าง เป็น “นักจิตวิทยา”ที่ปัดเป่าความทุกข์และความอยากรู้ของผู้คน ซึ่งอาจจะถูกบ้างผิดบ้าง บางอย่างไม่ต้องเป็นหมอดูก็บอกได้

ปัญหาอยู่ที่การทำธุรกิจบนความทุกข์ร้อนของผู้คน ที่บางคนมีเจตนาหลอกลวงด้วยวาทศิลป์ที่ทำให้คนที่กำลังทุกข์อยู่หลงเชื่อ เสียเงินทองไปไม่รู้เท่าไร ทำนายผิด 9 เรื่อง ถูกเรื่องเดียว คนก็ลืม 9 เรื่องนั้นแล้ว

คนที่อ้างว่ามีญาณ ให้เลขให้หวยถูกหลายงวด ที่สุดก็ไม่ถูกอีก พระท่านสอนว่า เพราะใช้ญาณไม่ใช่เพื่อความหลุดพ้น แต่เพื่อผลประโยชน์ เพิ่มกิเลส ที่เคย “เห็น” ชัดจึงมัวและมืดจนไม่เห็นอีก

เคยมีพระภิกษุที่คนกราบไว้เคารพนับถือ เพราะ “บารมี” ที่อธิบายไม่ได้อย่าง “พระยันตระ” หรือ  “บุดดา บอย” ชาวเนปาลที่เพิ่งถูกจับ ไม่ทราบว่าเพราะ “ธรรมแตก” หรือเพราะเหตุผลใด เพราะตอนต้นดูเหมือนจะดี มี “พลังจิต” ที่ดึงดูดผู้คนจริง หรือว่าเป็นพลังทางจิตวิทยามวลชนที่ทำให้เป็น “ไวรัล” ไปให้คนหลงเชื่อ

คงไม่มีใครปฏิเสธว่า การที่คนพึ่งหมอดู คนมีญาณ ไม่ว่าพระหรือฆราวาส ก็เพราะ “มีทุกข์” ทั้งๆ ที่ทางแห่งการพ้นทุกข์นั้น ศาสนาต่างๆ สอนไว้หมดแล้ว เพียงแต่ไม่ปฏิบัติกันเท่านั้น

วิทยาศาสตร์กับไสยศาสตร์ ดาราศาสตร์กับโหราศาสตร์ ศาสนากับไสยศาสตร์ มีเส้นแบ่งบางๆ ที่ผู้คนสับสนได้ง่าย เพราะธรรมชาติแห่งความย้อนแย้ง ที่ด้านหนึ่งก็อยากหยุดพ้น แต่อีกด้านก็ยังมีกิเลส

เคยถาม “คนมีญาณ” ท่านหนึ่งที่ในอดีตเคย “ทำนาย” อนาคตใกล้และไกลได้ถูกต้องมากมาย เมื่อลงองค์ได้ถามว่า กรุงเทพฯ มีคนลงองค์ทรงเจ้าเห็นว่าเป็นหมื่น จะรู้ได้อย่างไรว่าใครจริงใครปลอม “ท่าน” ตอบพลางหัวเราะว่า “คนที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องนั่นแหละไม่ใช่”

บุคคลผู้นี้บอกสอนทุกครั้งที่ใครๆ ไปหาให้ “ปลง อโหสิ และแผ่” มีคำอธิบายที่ใครๆ ก็พอจะรู้ ท่านบอกว่า ถ้าทำ 3 อย่างนี้ อะไรจะเกิดก็ให้กิด  แต่สิ่งที่จะเกิดแน่นอน คือ “บารมี” ของแท้ ไม่ปลอม