ชาวต่างชาติมาเสียชีวิตในเมืองไทยในเหตุการณ์เดียวกันถึง 6 ชีวิตนั้น ก็สมควรแล้วที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะต้องลงพื้นที่เกิดเหตุด้วยตนเอง ในฐานะที่นายกรัฐมนตรียังสวมหมวกอีกใบในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หากไม่เดินทางไปต่างหากจึงจะควรถูกวิพากษ์วิจารณ์
แต่กระนั้น การเมืองไทยในสถานการณ์ที่ความศรัทธาที่มีต่อผู้นำนั้นถูกบั่นทอนเป็นระยะ ขณะที่ความคาดหวัง “นายกฯชื่อเศรษฐา ประชาชนจะเป็นเศรษฐี” กลายเป็นบูมเมอแรงย้อนกลับเป็นสร้างแรงเสียทานให้กับตัวนายกรัฐมนตรีเอง ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องของพี่น้องประชาชน
อย่างไรก็ตาม การเดินหน้าผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการเติมเงิน1หมื่นบาทผ่านระบบดิจิทัลวอลเลต โดยนายกรัฐมนตรี ประกาศเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ที่ผ่านมาว่า “ดิจิทัลวอลเล็ตพร้อม เปิดลงทะเบียน 1 ส.ค. นี้ ครับ การประชุมวันนี้ ถือเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดลงทะเบียน และการดำเนินการในภาพรวมที่จะรองรับการใช้งานของประชาชนและร้านค้า โดยมีการมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ รวมไปถึงการลงรายละเอียดเงื่อนไขของการรับสิทธิ์ และมาตรการป้องกันการทุจริต การเรียกเงินคืนให้ชัดเจนขึ้นครับ
โครงการดิจิทัลวอลเล็ต คือ โครงการใหญ่ของภาครัฐที่จะเติมเงินกระเป๋าพี่น้องประชาชน ผู้ประกอบการ และระบบเศรษฐกิจในภาพรวม เพื่อความละเอียดรอบคอบทั้งทางกฎหมาย และทางเทคนิค โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของผู้ใช้งาน ทำให้ใช้เวลาดำเนินการมากหน่อย แต่พี่น้องไม่ต้องคอยเก้อแน่นอนครับ”
ขณะที่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพิ่งผ่านร่าง งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 พ.ศ.... วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอเพื่อใช้ในโครงการเติมเงินหมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต โดยมติเสียงข้างมาก 297 เสียง ลงมติรับหลักการ ขณะที่ 164 เสียง ไม่รับหลักการ
ถือเป็นเดิมพันสำคัญของนายกรัฐมนตรี ว่านโยบายเรือธงจะไปถึงฝั่งหรือไม่ ในขณะที่เส้นทางในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยังอยู่ในมือของศาลรัฐธรรมนูญ ที่คาดว่าจะตัดสินก่อนเดือนกันยายน จึงน่าสนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนายกรัฐมนตรี และเงินดิจิทัล