เสรี พงศ์พิศ

Fb Seri Phogphit

ประสบการณ์ของชาวบลูโซนทั่วโลกที่อายุยืน บวกกับปรัชญาสุขนิยมสโตอิกส์และจิตวิทยายุคใหม่ ทำให้พอสรุปได้ว่า ผู้สูงวัยไม่ควรทำอะไรและควรทำอะไร

1.  อย่าตัดขาดจากโลก อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่สัมพันธ์กับใคร ชีวิตที่เงียบและเหงาจะเครียดและเจ็บป่วย การติดต่อสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น ครอบครัว ลูกหลาน เพื่อน ร่วมกิจกรรมกลุ่มในสังคมทำให้ผ่อนคลาย ไม่นั่งๆ นอนๆ คิดไปมาอยู่คนเดียวจะไม่มีความสุข ไปสภากาแฟ ไปเล่นกีฬา ออกกำลังกายกับเพื่อนฝูง

2.  อย่าหมกมุ่นอยู่กับอดีต คิดถึงแต่ความหลังครั้งก่อน ความสำเร็จ ความล้มเหลว อดีตอาจเป็นกับดักทางอารมณ์ ทำให้เครียด ไม่มีความสุขกับปัจจุบัน ไม่เอาแต่ฝันไกลไปในอนาคต อดีตเป็นอะไรที่เราควบคุมไม่ได้แล้ว มุ่งอยู่กับปัจจุบันดีกว่า “อย่าให้อดีตเป็นที่คุมขัง แต่ให้เป็นบทเรียน”

3.  อย่าละเลยสุขภาพกายและใจ  “ชีวิตคนเราถ้าใช้ให้ดีจะยืนยาว” (เซเนกาปราชญ์โรมัน) เราไม่อาจย้อนอายุได้ ทำปัจจุยันให้ดี ดูแลสุขภาพ อาหารการกิน ออกกำลังกาย พักผ่อนนอนหลับ ทำสมาธิ ลดความเครียด คบหาสมาคมกับคนอื่น เป็น “ร่มโพธิ์ร่มไทร” ให้ลูกหลาน ให้ความรักความอบอุ่น ไม่เพียงแต่รับอย่างเดียว

4. อย่าเลิกเรียนรู้ “คนหยุดเรียนรู้จะแก่เร็ว” การเรียนรู้ตลอดชีวิตทำให้สมองทำงาน ความคิดโลดแล่นมีชีวิตชีวา ป้องกันสมองเสื่อม ความจำหาย เรียนภาษาใหม่ ฝึกเล่นดนตรี ร้องเพลง เต้นรำ ทำการเกษตร ฯลฯ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เปิดประตูสู่โลกใหม่ ได้ทัศนภาพและทัศนคติใหม่ ความรู้ใหม่เป็นเหมือนไฟส่องความมืดในจิตวิญญาณ ส่องทางเดินให้ไปข้างหน้า ไม่หยุดเรียน โหยหาแต่อดีตและฝันถึงแต่อนาคต

5. อย่าต่อต้านการเปลี่ยนแปลง  อายุมากขึ้นมักถูกกับดักการรับรู้ ไม่ยอมรับสิ่งใหม่ๆ  การเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมชาติของโลกของชีวิต การยอมรับทำให้เราเติบโต การต่อต้านทำให้เครียดและเป็นทุกข์ ควรมุ่งมั่นกับสิ่งที่เราควบคุมได้ และปล่อยวางยอมรับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แทนที่จะมองการเปลี่ยนแปลงเป็นการคุกคาม มองเป็นโอกาสให้เราปรับปรุง ฟื้นฟูตัวเอง ค้นพบตบแต่งโฉมหน้าใหม่ของตัวเราเอง ที่เปิดรับประสบการณใหม่ๆ และโอกาสที่ชีวิตมอบให้

6. อย่าลืมความกตัญญูรู้คุณ  คนเรามักเน้นที่การสูญเสียหรือสิ่งที่ขาด จนลืมยินดีกับสิ่งดีๆ ที่เรามีและได้รับมา ความสุขมิได้มาจากสิ่งที่เรามีมาก แต่พอใจกับสิ่งที่เรามีอยู่ ความรู้คุณทำให้เราเห็นคุณค่าของสิ่งเล็กๆ เหมือนเป็นบุญที่เราได้มา การรู้จักขอบคุณคนอื่น อ่อนน้อมถ่อมตน ทำให้เราเติบโตและเป็นสุข

7. อย่าเก็บความรู้สึกไม่ดี ความเคียดแค้นฝั่งแน่นในอกทำลายความสุขในปัจจุบัน ความขัดแย้งกับคนอื่นเป็นเรื่องปกติ การเก็บความรู้สึกไม่ดีไว้นานไม่ช่วยอะไร การให้อภัยไม่ได้แปลว่าลืมหรือไม่ถือสาพฤติกรรมเลวๆ ของคนที่ทำกับเรา แต่คือการปล่อยวาง ปลดปล่อยจากภาระหนักนั้นไม่ให้รบกวนชีวิต เกิดสันติในใจเรา คิดเสียว่า ใครทำอะไรไว้ก็จะได้อันนั้น ไม่ว่าดีหรือร้าย

8. อย่าทิ้งเป้าหมาย  อายุมากขึ้นอาจคิดว่าได้บรรลุเป้าหมายต่างๆ หมดแล้ว การมีเป้าหมายไม่ว่าเล็กน้อยเพียงใดทำให้ชีวิตได้เข็มทิศ มีโฟกัสชีวิตเป็นบวก “คุณภาพชีวิตอยู่ที่คุณภาพความคิดของคุณ” การมีเป้าหมายทำให้เกิดพลังกายและใจ เป้าหมายเล็กน้อยเพียงใดก็ให้ความสุขเมื่อทำสำเร็จ ทำให้ใช้เวลาว่างอย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าการเรียนรู้อะไรใหม่ๆ การตั้งใจในการดูแลสุขภาพ การออกกำลังกาย ปลูกผัก ปลูกต้นไม้ เล่นดนตรี ร้องเพลง เต้นรำ จิตอาสา ช่วยคนที่ลำบาก และอื่นๆ

9. อย่าปล่อยเวลาว่างอย่างไร้ประโยชน์ มีกิจกรรมมากมายให้ทำยามว่าง ถ้าหากทำด้วยใจรักก็มีคุณค่าทั้งสิ้น อ่านหนังสือ ดูหนังดีๆ ฟังเพลงเพราะๆ วาดภาพ ทำการเกษตร หัตถกรรม เดินทาง ท่องเที่ยว ทำอะไรที่ชอบ ไม่เอาแต่นั่งคิดคำนึงถึงอดีต ฝันถึงอนาคต โดยไม่ลงมือทำอะไรที่ทำได้

10. อย่าลืมอารมณ์  ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ควรใส่ใจ ไม่เก็บกด แต่บริหารอย่างสร้างสรรค์ “ไม่ใช่อะไรที่มารบกวนเรา แต่เป็นวิธีที่เราตีความและรับกับมันมากกว่า” เราอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผล แต่ได้ทำร้ายอารมณ์ความรู้สึกของเขา จึงควรใส่ใจในการดูแลอารมณ์ของตนเอง ไม่พูดก่อนคิด แต่คิดก่อนพูดก่อนทำ ไม่หงุดหงิดง่าย  “วีน” ใส่คนรอบข้าง โดยเฉพาะตอนเจ็บป่วย  การพูดจาบอกอารมณ์ (ไม่ใช่ระบายอารมณ์) อย่างตรงไปตรงมากับคนใกล้ชิด หรือการเขียนไดอารีส่วนตัวก็เป็นการทบทวนอารมณ์ที่ดี

11. อย่าลืมความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น คนในครอบครัว ลูกหลาน มิตรภาพกับเพื่อนเก่าใหม่  เมื่อพบความยุ่งยากในชีวิต ไม่ว่าด้านสุขภาพหรือด้านอื่น จะเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ที่ดี การติดต่อสื่อสารจึงควรทำ ควรรื้อฟื้น ซึ่งทำได้ง่ายวันนี้ด้วยสื่อทันสมัย การพบปะสังสรรค์สร้างความสัมพันธ์และความผูกพัน

12. อย่าคิดมากกับความคิดเห็นของคนอื่น ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตของเรา ใครบอกอะไร แนะนำให้กินอะไรทำอะไรก็เชื่อ ก็อยากกินอยากทำไปหมด  ไม่เป็นตัวของตัวเอง อายุมากขึ้นมักอ่อนไหวในเสียงวิพากษ์วิจารณ์ การบ่นว่าของลูกหลานคนใกล้ชิด เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ พลอยกินไม่ได้นอนไม่หลับ

สังคมไทยมีผู้สูงวัยมากขึ้นเรื่อยๆ จาก 13 ล้านวันนี้คงป็น 20 ล้านวันหน้าไม่ไกล เรื่องใหญ่ของสังคมที่ต้องช่วยกันหาวิธีทำให้ผู้สูงวัยใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีคุณภาพ

แทนที่จะมีแต่ “สูตรสำเร็จ” ทั้งแนวคิดกิจกรรม (และงบประมาณ) จากหน่วยงานของรัฐที่ทำให้บรรดาอปต.ทำเหมือนๆ กันหมด ควรให้ผู้สูงวัยมีส่วนร่วมในการวิจัยตนเอง เพื่อค้นให้พบทั้งปัญหา ความต้องการและศักยภาพของตนเอง ของครอบครัวและชุมชน เพื่อทำ “แผนสูงวัยสวัสดิ์” ที่ช่วยให้ผู้สูงวัยอยู่ได้อย่างมีความสุข

การทำแผนดังกล่าวจะทำให้ค้นพบ “ทุนท้องถิ่น” ทุนทรัพยากร ทุนทางปัญญา ทุนทางสังคม ที่ใหญ่กว่า มากกว่างบประมาณจากรัฐ จะเป็นปัจจัยทำให้เกิดความร่วมมือของทุกฝ่าย ทั้งครอบครัว ชุมชน และผู้สูงอายุ อันเป็นผลของการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยการทำวิจัยที่พัฒนาจิตสำนึกของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง