ทวี สุรฤทธิกุล
การเมืองไทยที่ยังย่ำแย่อยู่ทุกวันนี้ ไม่เพียงแต่จะมี “วงจรอุบาทว์” ยังเต็มไปด้วย “ลัทธิอุบาทว์” อีกด้วย
ลัทธิหนึ่งที่ปกครองเมืองไทยมากว่า 20 ปีก็คือ “ตั๊กสินิสซึ่ม” โดยเริ่มจากการขึ้นมามีอำนาจของพรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ นช.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อ พ.ศ. 2544 ลัทธินี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มันเป็น “การตกผลึก” ทางความคิดของกลุ่มนักคิดแนวซ้าย ที่มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “คนเดือนตุลา” ที่มาอาศัยพรรคไทยรักไทยและ นช.ทักษิณ สืบทอดแนวคิดดังกล่าวเรื่อยมา แม้บางคนอาจจะมองว่า ภายหลังที่พรรคเพื่อไทย(ทายาทอุบาทว์ของพรรคไทยรักไทย)ได้ “เกี้ยเซี๊ยะ” กับฝ่ายอนุรักษ์ตลบหลังพรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลเมื่อหลังเลือกตั้งครั้งหลังสุด กลุ่มซ้ายอุบาทว์นี้อาจจะอ่อนกำลังลง หรืออาจจะเปลี่ยนแนวคิดไป เพราะหัวขบวนคือ นช.ทักษิณ “เปี๊ยนไป” ยอมล้มเลิกที่จะท้าทายสถาบันที่รวมถึงทหาร เพื่อหวังจะผลักดันลูกสาวให้ขึ้นครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเร็ววันนี้ ซึ่งก็หมายถึงการเปลี่ยนแนวอุดมการณ์ของพวกซ้ายอุบาทว์นั้นด้วย
ก่อนที่จะไปพูดถึง “ความฝันอันชั่วร้าย” ของคนผู้เป็นพ่อบางคน คงต้องขออนุญาตท่านที่พอจะมีความรู้เกี่ยวกับ “กระบวนการคอมมิวนิสต์” ในทางการเมืองไทยมาบ้างแล้วนั้น ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นมาของพวกซ้ายอุบาทว์ในประเทศไทยนี้สักเล็กน้อย เพื่อปูพื้นฐานความเข้าใจให้กับท่านผู้อ่านอื่น ๆ ที่อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับ “แนวคิดอุบาทว์” จะได้ตามทันและมองเห็นอนาคตอันน่าหวาดหวั่นนั้นได้อย่างชัดเจน
คนไทยกลัวคอมมิวนิสต์มานานมาก ๆ ตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่ข่าวเรื่องจักรพรรดิจีนถูกขับไล่ลงจากราชบัลลังก์ โดยกระบวนการก๊กมินตั๋ง นำโดย ดร.ซุนยัดเซ็น พร้อม ๆ กันกับที่มีการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน นำโดยเหมาเจ๋อตุง ขึ้นมาต่อต้านพวกก๊กมินตั๋ง ที่สุดพวกก๊กมินตั๋งต้องไปปักหลักอยู่บนเกาะไต้หวัน ตั้งเป็นประเทศ ชื่อ “สาธารณรัฐจีน” มี เจียงไคเช็ก เป็นประธานาธิบดี ส่วนบนแผ่นดินใหญ่เมื่อเหมาเจ๋อตุงยึดครองได้แล้ว ก็ตั้งชื่อประเทศว่า “สาธารณรัฐประชาชนจีน” (หรืออีกชื่อหนึ่งว่า “จีนแดง”) ใช้การปกครองแบบคอมมิวนิสต์ เมื่อข่าวเหล่านี้แพร่หลายมาถึงประเทศไทย คนที่ตื่นตระหนกที่สุดก็คือฝ่ายอนุรักษ์นิยม เพราะมีการปล่อยข่าวว่าคอมมิวนิสต์ล้มกษัตริย์ รวมถึงที่ไม่มีศาสนา และใช้การฆ่าฟันล้มล้างศัตรู ถึงขั้นที่มีการต่อต้านคนจีนในประเทศไทย(ทั้งที่คนจีนเหล่านี้ไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์)และเรียกคนจีนว่า “ภัยเหลือง” (หมายถึงพวกผิวเหลืองหรือคนจีน)
กระทั่งประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 คนไทย(โดยเฉพาะในฝ่ายอนุรักษ์นิยมอีกนั่นแหละ)ก็ยิ่งกลัวคอมมิวนิสต์ เพราะได้เห็นนโยบายหลาย ๆ อย่างของคณะราษฎร โดยเฉพาะที่เขียนไว้ใน “สมุดปกเหลือง” ที่เขียนโดยหลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรืออาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เป็นคนเขียน ถึงขั้นที่มีการอภิปรายทะเลาะกันในรัฐสภาและรัฐบาล รวมถึงที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวินิจฉัยข้องพระราชหฤทัย (แต่ภายหลังนโยบาย “แนวคอมมิวนิสต์” ในสมุดปกเหลืองนี้ก็ไม่ได้ออกเป็นกฎหมาย นัยว่าเพื่อสร้างความปรองดองกับพวกเจ้า ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติใน พ.ศ. 2477) กระทั่งเกิดรัฐประหารใน พ.ศ. 2490 ที่ทำให้คณะราษฎรหมดอำนาจไป ใน พ.ศ. 2495 รัฐบาลทหารจึงได้ออกพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ทำให้กระบวนการพรรคคอมมิวนิสต์ของไทยต้องหลบไปต่อสู้ทางใต้ดิน แต่ก็ถูกรัฐบาล(ทหาร)ของไทยไล่ล่าอยู่โดยตลอด กระนั้นคอมมิวนิสต์ไทยก็ขยายตัวขึ้นตามชนบทมากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งสามารถจัดตั้งเป็นกองกำลัง และประกาศสู้รบกับทางรัฐบาลไทยในวันที่ 7 สิงหาคม 2508 เรียกว่า “วันเสียงปืนแตก”
การใช้กำลังต่อสู้กันระหว่างฝ่ายความมั่นคงของไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์ไทยดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับการที่พรรคคอมมิวนิสต์ไทยได้แทรกซึมแพร่ลัทธิเข้าไปในกลุ่มปัญญาชน รวมถึงนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะในช่วงหลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 เมื่อทหารถูกขับไล่ออกไปจากวงจรอำนาจทางการเมือง(เพียงชั่วคราว) พวกคอมมิวนิสต์ก็โผล่ขึ้นมาแสดงบทบาทอย่างผ่าเผย ผ่านการจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองแนวสังคมนิยมต่าง ๆ ที่สามารถส่งผู้สมัครได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้กว่า 40 คน (รวม ๆ กันหลายพรรค) รวมถึงที่ได้เข้าไปจัดตั้งกลุ่มมวลชนในประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ทั้งนิสิตนักศึกษา ผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร และกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งพวก “คนเดือนตุลา” ก็เกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการเหล่านี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองประเทศ ไปสู่การปกครองแบบ “สาธารณรัฐสังคมนิยม” กระทั่งฝ่ายความมั่นคงได้ใช้ความรุนแรงเข้าปราบปราม ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ตามมาด้วยการไล่ล่าอย่างเข้มข้น ที่ทำให้ผู้คนในกระบวนนี้ต้องหนีเข้าไปอยู่ในป่าเป็นจำนวนมาก และหลายคนก็ระเห็จไปอยู่ในต่างประเทศ
ต่อมาในยุครัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีในต้นปี 2523 พอกลางปีนั้นก็ได้ประกาศนโยบาย 66/2523 ที่นักรัฐศาสตร์เรียกว่าเป็นนโยบายที่ใช้ “การเมืองนำการทหาร” (จากเดิมที่รัฐไทยใช้นโยบาย “การทหารนำการเมือง” ที่เน้นการใช้กำลังปรามปราบ) ที่เน้นการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ให้โอกาสแก่คนที่หนีเข้าป่าให้มามอบตัว เรียกว่า “ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย” ปัญหาคอมมินิสต์จึงบรรเทาลง อย่างน้อยก็ไม่มีการสู้รบแบบเสียเลือดเนื้อ หรือความเกลียดชังกันระหว่างราษฎรไทยกับข้าราชการแบบในอดีต แต่กระนั้นพวกที่มีแนวคิดซ้าย ๆ ก็ไม่ละเลิกอุดมการณ์ หลายคนไปทำงานภาคเอกชน บางคนไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และบางคนก็แทรกซึมเข้าไปอยู่กับนักการเมืองหรือพรรคการเมือง
ทีนี้แหละที่เป็น “จุดไคลแม็ก” อย่างที่สำนวนไทยบอกว่า “ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน” แต่นี่เป็นเรื่องของการเมืองจึงอยากจะเป็นสำนวนว่า “ฟ้าสีทองผ่านพาด คอมมิวนิสต์อุบาทว์มาพบกัน” เมื่อเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ใน พ.ศ. 2535 แล้วมีการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมือง คนพวกนี้ก็มาขายไอเดียให้กับคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญอีกด้วย แต่ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ พากันไป “ตั้งไข่” เตรียมตั้งพรรคการเมืองเพื่อสืบทอดแนวคิดอันอุบาทว์เหล่านั้น ที่เรียกว่า “ตั๊กสินิสซึ่ม” ที่จะขอเอาไปอธิบายในสัปดาห์หน้า
อ้อ ทำไมผู้เขียนจึงตั้งชื่อลัทธินี้ว่า “ตั๊กสินิสซึ่ม” ก็เพื่อหลีกเลี่ยงข้อหาทางกฎหมาย ไม่ให้ไปว่าตัวบุคคลผู้ใดอย่างตรงไปตรงมาจนเกินไป โดยพยายามใช้เนื้อหาทางวิชาการมานำเสนอให้มากหน่อย จึงต้องขออภัย “ประชาคมซาดิสม์” ที่อาจจะเขียนได้ไม่เผ็ดร้อนถึงใจพระเดชพระคุณ
สำนวนไทยที่ว่า “กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง” ถ้ามาใช้อธิบายคนชั่วพวกนี้ ถึงแม้จะไม่พูดถึงความชั่วของพวกมันชัด ๆ แต่ “เลวอยู่กับตัว ชั่วอยู่กับมึง” ก็เป็นความจริงเสมอ