สถาพร ศรีสัจจัง
และแล้ว “สิ่งมีชีวิต” สปีชีส์ซึ่งนักชีววิทยาเรียกกันว่า “homosapiens” ที่ภายหลังมักเรียกกันเป็นคำธรรมดา ว่า “คน” หรือ “มนุษย์” (human being)ใน “ดาวพระเคราะห์” (planet) ดวงหนึ่งที่ชื่อ “โลก” ( world,earth) ก็มี “พัฒนาการ” ขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเขาค้น “พบ” สิ่งที่เรียกว่า “ไฟ” และ “เรียนรู้” มันจนสามารถควบคุมมันได้ในระดับหนึ่ง จนสามารถนำมาใช้ “ประโยชน์ตน” ไห้สำเร็จได้ในหลายเรื่อง
นอกจากการนำมาสร้างความอบอุ่นให้ร่างกายพ้น “ทุกข์” จากสภาพอากาศ และ การใช้เป็นเครื่องป้องกันตัวเองจากสัตวร้ายอื่นๆแล้ว มีนักมานุษยวิทยาในชั้นหลังหลายคนวิจัยพบว่า “ไฟ” ส่งผลต่อมนุษย์ในหลายด้าน โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพัฒนาการทาง “กายภาพ” ของ “มนุษย์วานร” ในยุคแรกๆที่เรียกกันว่า “โฮโม อีเร็คตัส” เป็นอย่างมาก
นั่นคือ มีการพบว่า พวกนี้เริ่มรู้จักใช้ “ไฟ” ปรุง “อาหาร” จากการที่เมื่อหาอะไรมาได้ก็กินกันแบบดิบๆสดๆไปตามสัญชาตญาณแห่งความหิว พัฒนาสู่การกินแบบใช้ไฟทำ “อาหาร” นั้นๆ “สุก” เสียก่อนที่จะกิน
นักวิชาการด้านมานุษยวิทยาหลายคนสรุปว่า สิ่งนี้ส่งผลต่อกายภาพของมนุษย์ยุคแรกๆอย่างสำคัญ และนับเป็นการ “ปฎิวัติ” วัฒนธรรมในเรื่องที่เกี่ยวกับ “อาหาร” ของบรรพชนมนุษย์อย่างสำคัญอีกด้วย!
ข้อมูลเกี่ยวกับการค้นพบและความสามารถในการควบคุม “ไฟ” ได้ของ “มนุษย์วานร” ยุคโบราณนั้น แม้จะยังไม่มีการ “ฟันธง” ลงไปว่าเริ่มเกิดมีขึ้นตั้งแต่เมื่ดอย่างชัดเจน แต่นักโบราณคดีและนักมานุษยวิทยาคนสำคัญๆหลายคนประมาณการค่อนข้างพ้องกันว่า อย่างน้อยก็น่าจะนับได้หลายแสนปีมาแล้ว บางคนบอกว่า ประมาณ 9 แสนปีเป็นอย่างน้อย ขณะที่บางคนบอกว่าน่าจะน้อยกว่านั้น
จากการสืบค้นวิจัยของ ดร.ริชาร์ด แรงแฮม(Dr.Richard Wrangham) ศาสตราจารย์ด้านมานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ของสหรัฐอเมริกา พบและสรุปความเห็นไว้ทำนองว่า…
จุดเริ่มต้นของการใช้ไฟตามหลักฐานและข้อมูลทางโบราณคดีนั้น ยังไม่สามารถบอกได้อย่างเจาะจงจำเพาะลงไปว่า มนุษย์เริ่มรู้จักนำไฟมาใช้ปรุงอาหารครั้งแรกตั้งแต่เมื่อใด แต่เขาสรุปว่า จากการรู้จักใช้ไฟมา"ปรุงอาหารให้สุก"ก่อนกินนี่เอง ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพของบรรพบุรุษมนุษย์อย่างสำคัญ
เขาบอกว่า เมื่อมนุษย์ปรับตัวเข้ากับการกินอาหารสุกแล้ว ร่างกายก็ได้รับประโยชน์จากการกินอาหารสุกได้ทันที และเมื่อกินทุกวัน ระบบย่อยอาหารของมนุษย์จะสามารถทำงานได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้พลังงานมากเท่ากับที่ใช้ในการย่อยอาหารดิบ (การย่อยอาหารดิบใช้พลังงานในร่างกายสูง)
ผลก็คือ มนุษย์สามารถใช้พลังงานจากอาหารได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว และเนื่องจากอาหารสุกให้พลังงานสูง จึงไม่จำเป็นต้องมีกระเพาะอาหารขนาดใหญ่มาก กระเพาะอาหารขนาดเท่าที่มีอยู่ของมนุษย์ก็สามารถย่อยอาหารได้แล้ว
นอกจากนี้ ปาก ฟัน และลำไส้ของมนุษย์ที่มีขนาดเล็กนั้น ยังเหมาะกับอาหารสุกที่อ่อนนุ่ม มีใยอาหารน้อยและย่อยได้ง่าย การที่อวัยวะเหล่านี้มีขนาดเล็ก ทำให้สามารถทำงานเสร็จได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วและไม่ต้องสูญเสียพลังงานที่ต้องใช้ไปในการย่อยอาหารโดยไม่จำเป็น
เมื่อกักเก็บพลังงานในร่างกายไว้ได้มาก นั่นก็ยย่อมหมายความว่า สามารถนำพลังงานไปใช้ทำกิจกรรมอื่นๆ และนำมาสู่การแบ่งกำลังแรงงานในกลุ่มในเวลาต่อมา
แรงแฮม ยังชี้อีกว่า มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า การทำอาหารเกิดขึ้นในยุค “โฮโมอีเร็คตัส” หลักฐานที่ชี้ชัดประการหนึ่งก็คือ วิวัฒนาการที่ทำให้พวกโฮโมอีเร็คตัสปีนป่ายได้ไม่คล่องแคล่วเท่าเดิม (มีสมมติฐานว่า เมื่อมนุษย์เริ่มเดินทางเพื่อล่าสัตว์ทำให้สรีระช่วงขายาวขึ้น จึงเริ่มปีนป่ายต้นไม้ไม่ถนัดเท่าเดิม) ทำให้"ยืนตัวตรง"และต้องจำยอมนอนหลับบนพื้นดินแทนบนต้นไม้
นอกจาก “ไฟ” จะมีผลต่อเรื่องการเปลี่ยนแปลงทาง “กายภาพ” ของมนุษย์ยุคโบราณโดยตรง ดังเช่นที่นายแรงแฮม นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกล่าวสรุปดังที่ยกตัวอย่างมาให้ดูบ้างแล้ว ไฟยังมีผลอีกหลายด้านต่อมนุษย์ จามทรรศนะของนักวิชาการสาขาต่างๆ ตั้งแต่นักจิตวิทยาจนถึงแม้แค้นักเทววิทยาทีเดียว!
แต่การที่ต้องหลับนอนบนพื้นดินในคืนเดือนมืดนั้น นับเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่งทีเดียว หากไม่มีพบการนำไฟมาใช้ คงยากที่จะนอนหลับบนพื้นดินได้ โดยนัยกลับกัน เมื่อพวกโฮโมอีเร็คตัสรู้จักนำไฟมาใช้ในห้วงเวลาดังกล่าว ก็ย่อมเรียนรู้ถึงความปลอดภัยจากสัตว์ร้ายมากขึ้น อันสามารถช่วยให้นอนหลับลงได้ง่ายขึ้น (ดูรายละเอียดในหนังสือ “ไฟในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ” ที่ “ศรีรัตน์ ณ ระนอง” แปลจาก “Catching Fire ; How Cooking made Us Human” ของ Richard Wrangham
“ไฟ” น่าจะนับได้ว่าเป็น “พลังงาน” ซึ่งได้จาก “ธรรมชาติ” ที่มีอยู่แล้วใน"ดาวโลก"สิ่งแรกๆ ที่ทำให้บรรพชนของมนุษย์เมื่อหลายแสนปีก่อน สามารถพัฒนาการเรียนรู้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วกว่าสปีชีส์อื่น
“โลกทัศน์” ของพวกเขาทั้งที่มีต่อสิ่งต่างๆรอบๆคัวและต่อตัวเอง ก็ค่อยๆพัฒนาและส่งผลต่อ “วิถี” ของพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องต่างๆแบบเร็วขึ้นและมากขึ้นๆเรื่อยๆ ก็เพราะการค้นพบไฟและสามารถนำไฟมาใช้ประโยชน์ได้นี่เอง!
“ไฟ” กลายเป็น “เครื่องมือ” (Tool)ชุดแรกๆ ที่ทำให้ “sapiens” หรือบรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบัน เรียนรู้ในเรื่องการ “สร้างสรรค” และ “การทำลาย” มากขึ้น!
ที่น่าจะสำคัญอย่างที่สุดก็คือ “ไฟ” นี่เองละกระมังที่น่าจะเป็นปัจจัยที่ก่อความคิดเรื่อง “การมีอำนาจเหนือ” ต่อสิ่งอื่นๆใน “ดาวโลก” ดวงนี้ ทั้งต่อสิ่งมีชีวิตสปีชีส์อื่น และแม้กระทั่งต่อสิ่งธรรมชาติอื่น ที่พวกเขาเริ่ม “เอาชนะ” ได้โดยการใช้ไฟเป็นเครื่องมือ !
และน่าจะมีความเป็นไปได้มากเช่นกันว่า ในบางกลุ่มบรรพชนยุคแรกๆของมนุษย์ ผู้ครอบครอง “ไฟ” และสามารถควบคุมการใช้ไฟได้ อาจสำเหนียกรู้ถึง “อำนาจ” ของตนบางเรื่องบางประการที่มีเหนือคนอื่นในกลุ่ม หรือ การพบ “ไฟ”นี่เอง จึงค่อยๆก่อเกิดการสถาปนาขึ้นของสิ่งที่เรียกกันในภายหลังว่า “ชนชั้นนำ”!?!