องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศว่า “ความเหงา” เป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุขที่เร่งด่วนทั่วโลก โดยศัลยแพทย์ทั่วไปของสหรัฐฯ ระบุว่าผลกระทบต่อการเสียชีวิตของความเหงาเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ 15 มวนต่อวัน
นพ.วิเวก เมอร์ธี ศัลยแพทย์ทั่วไปของสหรัฐอเมริกา, ชิโด เอ็มเปมบา ทูตด้านเยาวชนของสหภาพแอฟริกา ราล์ฟ รีเกนวานู รัฐมนตรีกระทรวงการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในวานูอาตู และอายูโกะ คาโตะ รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบมาตรการเพื่อความเหงาและความโดดเดี่ยวในญี่ปุ่น พร้อมด้วยนักเคลื่อนไหวและรัฐมนตรีอีก 11 คน ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศเกี่ยวกับปัญหา “ความเหงา”
นพ.วิเวก กล่าวว่า “ความเหงากำลังกลายเป็นข้อกังวลด้านสาธารณสุขระดับโลกที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ความเป็นอยู่ และการพัฒนาในทุกด้าน ความโดดเดี่ยวทางสังคมไม่มีอายุหรือขอบเขต” ความเสี่ยงด้านสุขภาพนั้นแย่พอๆ กับการสูบบุหรี่มากถึง 15 มวนต่อวัน และมากกว่าความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนและการไม่ออกกำลังกายอีกด้วย
ในผู้สูงอายุ ความเหงามีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่จะพัฒนาภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้น 50% และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจหรือโรคหลอดเลือดสมอง 30% เท่านั้นไม่พอ ความเหงายังบั่นทอนชีวิตของคนหนุ่มสาวอีกด้วย
โดยงานวิจัยเมื่อปี 2022 ระบุว่า วัยรุ่น 5 – 15% มีภาวะเหงา ซึ่งตัวเลขมีแนวโน้มว่าจะถูกประเมินต่ำไป ขณะที่ในแอฟริกา มีวัยรุ่น 12.7% เผชิญกับความเหงา เทียบกับ 5.3% ในยุโรป
คนหนุ่มสาวที่ประสบปัญหาความเหงาที่โรงเรียนมีแนวโน้มที่จะไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัยมากกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้ ความเหงายังส่งผลไปสู่ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่แย่ลง ความรู้สึกแปลกแยก และไม่ได้รับการสนับสนุนในงานอาจทำให้ความพึงพอใจและประสิทธิภาพในการทำงานแย่ลง
ทั้งนี้ ตามข้อมูลทางการแพทย์ ความเหงา เป็นอันตรายที่จะนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อมได้ เช่นเดียวกับ ไขมันในเลือด รับประทานของหวานมากเกินไป นอนหลับรน้อยกว่า6ชั่วโมงต่อคืน รับประทานอาหารที่เพิ่มการอักเสบของร่างกาย และสูบบุหรี่
อย่างไรก็ตาม นอกจากความเหงา และปัจจัยต่างๆข้างต้น การดูแลสุขภาพกายและจิตใจ แข็งแรงลดความเครียดวิตกกังวล และทำกิจกรรมที่ได้บริหารและพัฒนาสมองอยู่เสมอก็ช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้