อาการบาดเจ็บที่กาย ยังไม่เท่า “ใจ”  เพราะยิ่งส่องเข้าไปยัง “สว.ใหม่” ทั้ง 200 คนที่ฝ่าด่านการเลือกระดับประเทศเข้ามาได้ ยิ่งทำให้ “พรรคเพื่อไทย” อยู่ในสภาพที่เรียกว่ามึนงงไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่งานนี้แผนการเล่นล่มไม่เป็นท่า 

    
เมื่อ “น้องเขย” ดีกรี “อดีตนายกฯ” อย่าง “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ร่วงรูด ไม่ผ่านการเลือกรอบสุดท้าย แถมยังไม่ติดกระทั่ง “100 สว.” ที่เป็น “สำรอง”  ทำให้สมชาย ต้องกลับบ้านไปในที่สุด แต่นั่นถือเป็น “ฉากจบ” สำหรับภารกิจที่เขาได้รับ 
    
แต่สำหรับ พรรคเพื่อไทย และตัว อดีตนายกฯทักษิณ แล้วแน่นอนว่าความพ่ายแพ้ ครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะชวดเก้าอี้ “ประธานวุฒิสภา” มิหนำซ้ำ ปรากฏว่า สภาสูงที่มาจาก รัฐธรรมนูญ 2560 ยังเปิดประตูต้อนรับ คนจาก “พรรคภูมิใจไทย” กว่าครึ่งวุฒิสภา 
    
จากเดิมก่อนหน้านี้ มีความเคลื่อนไหวจาก “คณะก้าวหน้า” โดย “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า เดินสายรณรงค์ปลุกให้มีการเลือกสว. 67 อย่างคึกคัก จนทำให้กูรูทางการเมืองหลายต่อหลายคนประเมินว่า ที่สุดแล้ว วุฒิสภา รอบนี้จะกลายเป็น “สว.สีส้ม” ทั้งคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกล จ่อยืดหัวหาด “วุฒิสภา”  
    
ทำให้พรรคเพื่อไทยเอง ต้องทำงานหนัก เนื่องจากนี่คือ “โอกาส” ของพรรคเช่นกัน แม้รัฐธรรมนูญ 2560 สว.ใหม่ 200 คนจะไม่มีอำนาจโหวตเลือกนายกฯ เหมือนที่ผ่านมา แต่อย่าลืมว่า บทบาทและอำนาจในการเลือก “องค์กรอิสระ” นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง รวมทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 
    
แต่บทสรุปนาทีสุดท้ายสะท้อนชัดเจนว่า ทั้ง “แดง” และ “ส้ม” ต่างแพ้ราบคาบ เมื่อสว.ที่เข้ามาล้วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับ “พรรคภูมิใจไทย” กว่าครึ่งค่อน มากกว่า 100 คน ซึ่งแน่นอนว่า ทักษิณเองพยายาม “ถอดบทเรียน” ว่าแพ้เพราะอะไร ? 
    
อย่างไรก็ดี จังหวะการเดินของพรรคเพื่อไทยในศึกเลือกสว. 67 ครั้งนี้ มีการมองว่า ส่วนหนึ่งมาจาก ทักษิณ ประมาท และมุ่งมองเฉพาะพรรคก้าวไกล เป็นคู่ต่อสู้หลัก และไม่ยอม “ออกอาวุธหนัก”  ที่สำคัญไปกว่านั้น คือความเจนจัดในสนามระดับพื้นที่ พรรคเพื่อไทยยัง “สแกน” ไม่ละเอียดมากพอ เหนืออื่นใด คือ “บารมี” ของทักษิณ สิ้นมนต์ขลังไปนานแล้ว !