ขณะที่ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 เปิดหน้าชน ด้วยการพูดจาพาดพิงอย่างจงใจ ไปถึง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ  หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แต่ดูเหมือน “เจ้าของบ้านป่ารอยต่อฯ” อย่างบิ๊กป้อม  กลับอยู่ในความสงบนิ่ง ไม่ส่งสัญญาณใดๆ สวนกลับ เอาคืน

เช่นเดียวกับ “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม น้องชายบิ๊กป้อม ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็น หรือตอบคำถามสื่อ เช่นกัน

แต่ภายใต้ความนิ่งเฉยจากเจ้าของบ้านป่ารอยต่อฯ ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า เมื่อเกิดศึกชนช้างเช่นนี้ จะเกิดความหวั่นไหว เกิดปัญหาตามมาภายในรัฐบาลหรือไม่ เมื่อ ทักษิณ คือผู้มีอิทธิพลทางการเมืองเหนือ “พรรคเพื่อไทย” อันเป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล  ส่วนพล.อ.ประวิตร คือ “คีย์แมน” ของพลังประชารัฐ  แม้จะไม่มีตำแหน่งในครม. ใดๆตาม แต่พรรคพลังประชารัฐ คือหนึ่งในพรรคลุงที่พรรคเพื่อไทย ข้ามขั้วไปจับมือตั้งรัฐบาล

อย่างไรก็ดีเมื่อประเมินจากท่าที และสัญญาณผ่าน “แกนนำ” ของพรรคพลังประชารัฐ ด้วยกันเองกลับยังไม่พบว่ามีอาการ “แข็งกร้าว” แต่เลือกที่จะไม่แสดงความเห็นผ่านสื่อเพื่อ “ขยายความ” ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรับรู้ได้ว่า นาทีนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่า การที่ “314เสียง” ยังจับมืออยู่ในเรือลำเดียวกันต่อไปเช่นนี้ คือทางที่ดีที่สุด และปล่อยให้ท่าทีจากทักษิณ เป็นเพียง “เรื่องของผู้ใหญ่”  

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ภายในพรรคพลังประชารัฐเองวันนี้ บิ๊กป้อม ไม่ได้มีกำลังทางการเมืองที่แข็งแกร่งเหมือนที่ผ่านมา สส.ของพรรคจำนวนไม่น้อย แม้ยังคงให้ความเคารพบิ๊กป้อม แต่ว่ากันว่าสายอำนาจที่มีความสำคัญ คือสายของ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรมว.เกษตรและสหกรณ์ ซึ่งถูกจับตามาโดยตลอดว่ามีความใกล้ชิดกับ “บ้านจันทร์ส่องหล้า”

ดังนั้นบรรยากาศภายในพรรคร่วมรัฐบาล จึงมีโอกาส “คุกรุ่น” ได้ยาก หากจะหยิบยกประเด็น บ้านจันทร์ส่องหล้า บีบ บ้านป่ารอยต่อฯ  เว้นแต่ในอนาคตอันใกล้นี้ การเมืองจะเกิดการพลิกผัน หรือเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง ตามมา ต้องอดใจรอดูความชัดเจน ในวันที่ 18 มิ.ย.นี้ เมื่อ ทักษิณ ประกาศแล้วว่าจะเดินทางไปฟังคำสั่งอัยการสูงสุด ในคดีมาตรา 112 ด้วยตัวเองแล้วนั้นจะได้รับการประกันตัวเพื่อเป็นหลักประกันว่า “ดีลลับ” ยังไม่หมดอายุหรือไม่ !?