ทวี สุรฤทธิกุล

ซือแป๋แห่งสวนพลูเคยบอกว่า “จงเอาชนะคนที่มีฤทธิ์ด้วยการแสดงให้เห็นว่าเรามีฤทธิ์มากกว่า”

ข้อแนะนำนี้มาจากพุทธชัยมงคลคาถา หรือที่เรียกกันแบบชาวบ้านว่าคาถาพาหุง ว่าด้วยชัยชนะทั้ง 8 ครั้งของพระพุทธเจ้า ซึ่งท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ยึดถือเป็น “ที่พึ่ง” ในการเอาชนะปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ รวมถึงปราบปรามศัตรูทั้งหลายมาตลอดชีวิต

ครั้งที่ผู้เขียนทำงานเป็นเลขานุการอยู่ที่บ้านซอยสวนพลู งานประจำอย่างหนึ่งก็คือต้องคอย “ต้อนรับขับสู้(และขับไล่)” กับผู้คนหลากหลายที่มาขอเข้าพบด้วยธุระต่าง ๆ ที่น่าเบื่อที่สุดก็คือคนที่มาขอสตางค์ ถ้ามีความจำเป็นหรือมีจำนวนเงินไม่มาก ท่านก็จะแจกจ่ายทำทานไป แต่บางคนมาขอเป็นล้าน ๆ บาท พอท่านบอกว่าท่านไม่ให้ก็ชักดิ้นชักงอว่าจะฆ่าตัวตาย ท่านบอกว่าอย่างนั้นพอช่วยได้ เลือกเอาว่า จะเอาเชือก เอาปืน หรือเอายาพิษ ฯลฯ คนที่กำลังจะฆ่าตัวตายนั้นก็หน้าม้านรีบโกยออกไป หรือบ่อยครั้งที่มีนักการเมืองมานั่งตื้อขอตำแหน่งต่าง ๆ ถึงค่ำมืดดึกดื่น ไม่ยอมกลับออกไป ท่านก็จะเริ่มเล่นบทโหด ด้วยการหันมาตะคอกใส่เลขาฯก๊วยเจ๋ง ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้แต่งงาน “ลูกเมียมึงไม่คอยตาย.. แล้วเหรอ หรือว่าไม่มีบ้าน ไปไปซุกหัวนอนตามซ่อ..ไป๊” ซึ่งผู้เขียนก็ต้องทำก้มหน้าเศร้าแล้วกราบลาออกไป (ทั้งที่ก็นอนอยู่ในห้องพักที่บ้านสวนพลูนั่นแหละ) แล้วก็ยังได้ยินท่านตะโกนไล่ลับหลังมาอีกหลายคำ สักพักนักการเมืองคนนั้นก็เดินหน้ามุ่ยออกมา

ท่านอธิบาย(ปลอบขวัญ)ให้ฟังภายหลังว่า ถ้าเจอคนที่บ้าก็ต้องแสดงความบ้าที่บ้ามากกว่าให้มันเห็น หรือถ้าคนที่หน้าด้านไม่มีมารยาท ก็ต้องใช้ความหยาบคายยิ่งกว่าเข้าใส่ ซึ่งท่านบอกว่าท่าน “ดัดแปลง” มาจากคาถาพาหุงของพระพุทธเจ้า (คาถาพาหุงหรือพุทธชัยมงคลคาถา ว่ากันว่าแต่งขึ้นโดยพระเถระในสมัยหลัง เพื่อเชิดชูพระอัจฉริยภาพของพระพุทธเจ้า ในชัยชนะครั้งสำคัญ ๆ 8 ครั้ง ได้แก่ กองทัพมาร ยักษ์อาฬะวกะ ช้างนาฬาคีรี องคุลีมาล นางจิญจมาณวิกา สัจจกะนิครนถ์ พญานาคนันโทปนันทะ และผกาพรหม โดยมักใช้สวดในเวลาทำบุญเลี้ยงพระหรือพิธีอันเป็นมงคลต่าง ๆ ถือว่าเป็นบทสวดที่เป็นมงคลสูงยิ่ง) เวลาที่มีปัญหาต่าง ๆ เข้ามาในชีวิต ท่านก็จะระลึกถึงบทสวดนี้ นอกจากจะทำให้จิตใจสงบแล้ว ยังช่วยให้มองเห็นหนทางในการแก้ปัญหาเหล่านั้นอีกด้วย

อย่างเรื่องคนบ้า ท่านบอกว่าเป็นคนที่ท่านต้องเจออยู่เป็นประจำ ทั้งที่บ้าอยากมาพบมาเห็นท่าน ในทำนองคนที่บ้าดารา หรือที่บ้ามาขอเงินขอตำแหน่งอย่างที่เล่ามาข้างต้น และที่บ้าจะเอาชนะท่านให้ได้ หรือเพียงแค่ได้มาทะเลาะกับท่านเพื่อเอาดังก็มีอยู่มาก (ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คือพวกโหนกระแส เกาะคนดังๆ ที่เป็นข่าว) ท่านก็ใช้คาถาพาหุงข้อ 7 ครั้งเมื่อพญานาคชื่อนันโทปนันทะ อันได้ชื่อว่ามีฤทธิ์และเล่ห์เหลี่ยมมาก มารังควานพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงให้พระโมคคัลลา พระอัครสาวกผู้ได้ชื่อว่ามีฤทธิ์มากเช่นกัน ปลอมตัวเป็นพญานาคอีกตนหนึ่ง แล้วไปแสดงฤทธิ์ที่มากกว่า กระทั่งพญานาคนันโทปนันทะยอมแพ้

ท่านบอกว่าในชีวิตท่านมีคนมาท้าตีท้าต่อย(ทั้งในทางตรงและทางอ้อม)มากมาย ขืนออกไปสู้เองก็คงไม่มีกำลังและเวลาเพียงพอที่จะไปสู้ได้ทั้งหมด ดังนั้นท่านก็ต้องใช้คนอื่น ๆ ที่มีกำลังพอไปต่อสู้แทน ส่วนพาหุงข้ออื่น ๆ ก็ใช้อยู่บ่อย ๆ เช่นกัน เช่น การเอาชนะผู้มีปัญญาก็ต้องแสดงปัญญาให้เหนือกว่า อย่างที่พระพุทธเจ้าเอาชนะผกาพรหม ซึ่งในฐานะที่ท่านเป็นนักวิชาการและนักเขียน ก็ต้องเจอคนที่ชอบท้าคารมกับท่านอยู่โดยตลอด หรือเอาชนะคนที่นินทาว่าร้ายด้วยความอดทนจนความจริงปรากฏ แบบที่พระพุทธเจ้าเอาชนะนางจิญจมาณวิกา ที่มาตู่หาว่าตั้งท้องกับพระพุทธเจ้า ซึ่งท่านเองในฐานะบุคคลสาธารณะก็เจอกับการนินทาว่าร้ายนั้นอยู่เป็นปกติ หรือเมื่อเจอคนหมู่มากมารุมทำร้าย แบบตำรวจที่ยกพลบุกมาพังบ้าน หรือทหารพรานที่ยกทัพมาพังรั้ว เหมือนครั้งที่พระพุทธเจ้ากำลังจะตรัสรู้แล้วก็มีทัพพญามารมาก่อกวน ท่านก็ตั้งสตินิ่งไม่โต้ตอบ แล้วสังคมรอบนอกก็ประณามทั้งตำรวจและทหารพรานพวกนั้น ดั่งที่มีพระแม่ธรณีบีบมวยผมเทน้ำออกมาจนท่วมทำลายกองทัพมารนั้นจนสิ้น

ในเวลานี้ มีคนจำนวนมากร้องระงมว่า “จะจัดการกับ นช.ทักษิณ ยังไงดี?” ผู้เขียนก็เลยนึกถึงคาถาพาหุงที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เคยใช้ได้ผลมา แล้วมาปรับใช้กับทักษิณ ที่อาจจะทำได้ในแนวทางต่าง ๆ ดังนี้

เริ่มต้นอาจจะต้องวิเคราะห์ก่อนว่า “ทักษิณเป็นบ้าไปแล้วหรือไม่?” ซึ่งจากข่าวสารต่าง ๆ น่าจะเชื่อได้ว่า “บ้ามาก ๆ” ดังนั้นอาจจะต้องหาคนที่บ้ากว่าไปปราบ ซึ่งในทางการเมืองก็คือคู่แข่งที่มีอำนาจหรือบารมีพอ ๆ กัน แต่ในวินาทีนี้(และอาจจะอีกนานในเวลาข้างหน้า)ยังหาคนแบบนั้นไม่ได้ ก็ต้องหาคนนอกแวดวงการเมือง ที่ใช้กันอยู่ประจำก็คือทหาร ที่ก็ต้องบ้าดีเดือดพอที่จะทำรัฐประหาร ทั้งนี้อาจจะต้องมีการเคลื่อนไหวของประชาชน ที่นำโดยคนที่ “บ้าเลือด” แบบนายสุเทพ เทือกสุบรรณ (หรือคนอื่น ๆ ในแบบนั้น) แล้วออกมาสร้างสถานการณ์ให้สุกงอม ที่สุดอาจจะต้องหา “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” อย่างในสมัยที่ทักษิณใน พ.ศ. 2549 ก็เคยโดนแบบนั้น

หรือถ้าหากจะพูดให้เป็นวิชาการและเป็นวิทยาศาสตร์ อีกแนวทางหนึ่งก็คือ “เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม” ที่กำลังเอาผิดและลงโทษทักษิณ ทั้งในคดีมาตรา 112 ที่อัยการสั่งฟ้องแล้วเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา และคดีความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่มีการเผยแพร่การใส่ร้ายพระมหากษัตริย์ในคดีเดียวกันนี้ แต่นี่ก็เป็นเพราะที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมดูจะไม่น่าเชื่อถือ จึงเชื่อกันว่าเอาเข้าจริง ๆ ถ้าทักษิณจะถูกจับเข้าคุก ทักษิณก็คงจะต้องหนีไปต่างประเทศอีก รวมถึงที่หาทางใช้ถุงขนม “บิดเบี้ยว” เอาตัวรอดจนได้

สำหรับคนไทยหลาย ๆ คนตอนนี้ก็คงได้แต่ทำใจ และรอคอยที่จะให้ “กรรม” ตามสนอง โดยหวังว่าประเทศเรานี้ยังคงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยพิทักษ์รักษา โดยเฉพาะ “พระสยามเทวาธิราช” ที่หลายครั้งก็เคยเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ จึงทำให้ประเทศไทยอยู่รอดปลอดภัยและเจริญก้าวหน้า(พอสมควร)มาจนถึงวันนี้

คือพระสยามเทวาธิราชที่ “เข้าใจ เข้าถึง” ประชาชน เพื่อกำจัดเสนียดแผ่นดินเช่นกาลก่อน