ดูเหมือนว่า วิบากกรรมทางการเมืองสำหรับ พรรคเพื่อไทย ยังเป็นเหมือนสึนามิลูกใหญ่ที่กระทบเข้ามาระลอกแล้ว ระลอกเล่า แม้ก่อนหน้านี้ เคยมีการประเมินกันว่าเมื่อ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้มีอิทธิพล เหนือพรรค กลับเข้าประเทศไทย จะทำให้พรรคมีความแข็งแกร่งมากขึ้น
และเมื่อเก้าอี้ นายกฯคนที่ 30 ยังตกเป็นของ เศรษฐา ทวีสิน 1ในแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย เท่ากับว่า ชัยชนะ ทางการเมือง อยู่ในมือพรรคเพื่อไทยอย่างเบ็ดเสร็จ
จากครม. เศรษฐา 1 มาถึง เศรษฐา 1/1 แม้จะมีอาการสะดุดอยู่บ้าง จากปัจจัยทางการเมืองทั้งภายในและภายนอก แต่รัฐนาวาลำนี้ก็ยังสามารถเคลื่อนต่อไป จนถึงวันนี้
แต่ปรากฏว่ายิ่งนานวัน การเคลื่อนไหวของทักษิณ ยิ่งทำให้พรรคเพื่อไทยตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยง และเหนืออื่นใด ยังไม่สามารถทำให้ เอาชนะ พรรคก้าวไกล ไปได้ เพราะตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา โพลหลายสำนัก ต่างพากันสะท้อนความเห็น ของประชาชนออกมาในทิศทางเดียวกันว่า จนถึงวันนี้ คะแนนนิยม ของพรรคก้าวไกล แซงหน้า พรรคเพื่อไทย ไปหลายช่วงตัว
การเคลื่อนไหวของอดีตนายกฯทักษิณ ไม่เพียงแต่จะบีบให้พรรคเพื่อไทย อยู่ภายใต้แรงกดดัน ทั้งในและนอกสภาฯ แต่ยังพบว่า ความเชื่อมั่น ต่อเสถียรภาพ เก้าอี้นายกฯ ต่อ เศรษฐา ในวันที่ กลุ่ม 40สว. ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยถอดถอนออกจากการเป็นรัฐมนตรี กรณีที่การแต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี และในระหว่างนี้ นายกฯเศรษฐา มีเวลาอีก 10กว่านั้นที่จะทำคำชี้แจงคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ในห้วงเวลานี้ สำหรับคนของพรรคเพื่อไทยเอง แม้จะไม่โดนคดียุบพรรค เหมือนกับพรรคก้าวไกล แต่ที่การที่ ทักษิณ ซึ่งเป็น เจ้าของพรรค มีส่วนใน ดีลลับ อันจะชี้ว่า รัฐบาล เศรษฐา1/1 จะไปต่อ หรือมาถึงการ ล้มดีล แล้วจับขั้วกันใหม่ ย่อมทำให้สมาชิกพรรคต่างต้องลุ้นระทึก
ขณะเดียวกัน เก้าอี้นายกฯของเศรษฐา เองก็มีความเคลื่อนไหวออกมาในทางที่ไม่เป็น บวก ว่าหากมีอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นกับคนของพรรคเพื่อไทย จริง โอกาส จะไปตกอยู่กับ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคร่วมรัฐบาล พรรคใด
ดังนั้น สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทย จึงเต็มไปด้วยความสุ่มเสี่ยง อันเกิดจาก ทักษิณ ผู้มีอิทธิพลเหนือพรรค เป็นผู้กำหนดเกมเพียงคนเดียวมาตั้งแต่ต้น !