สถาพร ศรีสัจจัง

ฟังว่าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินั้น เป็นประวัติแห่งการ “พัฒนา” และ ฟังมาอีกว่า สิ่งเดียวที่เป็นตัวชี้ขาดในการ “พัฒนาของมนุษย์ (Sapiens หรือ Human being) ก็คือ “การเรียนรู้” (learning)

ปัจจุบัน แม้จะยังไม่มีข้อสรุป แต่ก็พอมีหลักฐานทางการวิจัยทั้งด้านโบราณคดีและมานุษยวิทยาหลากสาขาบอกเราได้ในระดับหนึ่งแล้วว่า ในรอบ 1 หมื่นปีที่ผ่านมา “เซเปียนส์” มีพัฒนาการมาอย่างไรบ้าง ทั้งทางด้านกายภาพและสังคม”(social)

ในแง่กายภาพนั้น ฟังมาอีกนั่นแหละว่า “โฮโมเซเปียนส์” (ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสปีชีส์หนึ่งที่เป็นต้นเต้าของมนุษย์ปัจจุบัน)มีพัฒนาการทางสมองและระบบประสาทเรื่อยมา ตามความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัว

กว่าสัตว์สปีชีส์นี้จะเคลื่อนย้ายจากถิ่นกำเนิดคือทวีปแอฟริกาปัจจุบันเข้าสู่ส่วนอื่นของดาวโลกดวงนี้ (ฟังมาว่าเข้าสู่ “ยูเรเซีย” ก่อน แล้วมีการผสมข้ามสายพันธุ์หรือมีชัยเหนือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทเดียวกันที่สมองใหญ่กว่า คือ “โฮโมนีแอนเดอทัล” จนสามารถล้างเผ่าพันธุ์นั้นและยกตัวเองขึ้นเป็นใหญ่ และกระจายพันธุ์ออกกว้างขวางตามเหตุตามปัจจัยอันเกินจะจาระไนรายละเอียดได้ในที่นี่

สรุปเป็นว่า พวกนี้กระจายไปตั้งถิ่นนฐานอยู่ในพื้นที่อันเหมาะสม ทุกแห่งที่ในดาวสีน้ำเงินดวงนี้ เช่น ตามแหล่งลุ่มน้ำที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ต่างๆดังที่กลายเป็น “แหล่งอารยธรรมโบราณของโลก” อย่างที่คนได้เรียนหนังสือทั้งหลายรู้ๆกัน

มีนักวิชาการคนสำคัญๆในยุคร่วมสมัยปัจจุบันสรุปตรงกันว่า โฮโมเซเปียนส์หรือที่เรียกกันในปัจุบันว่า “มนุษย์”(human being) สามารถมีชัยจนยึดครองโลกได้อย่างเบ็ดเสร็จก็ต่อเมื่อพวกเขา “พบ” และควบคุมยึดครอง “ไฟ” เป็น “เครื่องมือ”ของตนได้สำเร็จ และพัฒนาการก้าวกระโดดครั้งใหญ่หลังจากนั้นอีกครั้ง ก็คือการสามารถสร้าง “ภาษา” เป็นเครื่องมือในการสื่อสารระหว่างกัน (ทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน)

มีนักปราชญ์หลายคนหลายพวกในชั้นหลัง (ไม่เกิน 3,000 ปีก่อน) สรุปตรงกันว่า โฮโมเซเปียนได้ข้ามพ้นจากพรมแดน
“สัญชาตญาณสัตว์” เข้าสู่ความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อพวกเขาสามารถผนวกรวม “การเรียนรู้” ใน 3 เรื่องสำคัญเข้าด้วยกัน

นั่นคือสามารถผนวกรวมการค้นพบสิ่งที่เรียกว่า “ความจริง” “ความดี” และ “ความงาม” เข้าเป็นหนึ่งเดียว แล้วยึดเป็นสรณะร่วมทางสังคม

พวกเขาเรียกสิ่งนี้ว่า “วัฒนธรรม” (Culture)!

อะไรคือสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “ความจริงสูงสุด” (Absalute Trutn)?

ก็คือ “คุณค่า” ที่สัตว์สปีชีส์อื่นไม่มี “ทาง” ที่จะพัฒนามาถึงได้ นั่นคือ การเข้าใจถึงคุณค่าความจริงแท้ในการเกิดมามีชีวิตแบบ “มนุษย์” (ผู้มีใจสูง)

กล่าวโดยสรุป สิ่งนั้นก็ตือการพบสิ่งที่เรียกว่า “แก่นแท้ของศาสนา” นั่นเอง!

เช่น ศาสนาพราหมณ์(ที่ว่าเก่าแก่ที่สุดคือประมาณ 4,000 ปี)พบว่า “ความสุข” สูงสุดของชีวิตมนุษย์คือความสามารถผนวกตนเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับ “พระเจ้า” (ปรมาตมัน) ศาสนาพุทธบอกว่าคือความรู้ความเข้าใจและปฏิบัติได้ถึง “กฎไตรลักษณ์(กฎว่าด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของสรรพสิ่ง) กลุ่มศาสนาที่มีพื้นฐานมาจากศศาสนา “ยูดาห์” (Judaism ของชาวยิวโบราณ )คือศาสนาคริสต์ และ อิสลามบอกว่า คือการเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระเข้า (เช่นเดียวกัน) ฯลฯ

และบรรดา “ปราชญ์” หรือ “ศาสดาพยากรณ์” (Prophet) ผู้บัญญัติศาสนาเหล่านั้น ล้วนสั่งสอน “ผูัสมาทาน” หรือ “สาวก” ตรงกันทั้งสิ้น คือให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่อชีวิตตน  ต่อชวิตอื่น และ ต่อสรรพสิ่งในจักรวาล

นั่นคือการดำรงอยู่ร่วมอย่าง “สันติ” อย่าง “ไม่เบียดเบียน” นั่นเอง!

นั่นคือสิ่งที่พวกเขาสามารถ “เรียนรู้” และ “พัฒนา” มาได้ไกลที่สุดในรอบไม่เกิน 5,000 ปีที่พ้นผ่าน

พวกเขายึดโยง “คุณค่า” แห่งการเกิดมาเป็น “คน” ดังกล่าวนี้ในเชิงปฏิบัติ ผ่านประดิษฐการสำคัญที่กลายเป็น “บริบทชีวิต” (Life Conrext) ของพวกเขา 2 ประการคือ “จริยธรรม” (Ethics) และ  “ความงาม” (สุนทรียะ หรือ “Aesthetics” หรือ Arts”)

ที่เรียกว่า “ความจริง” ซึ่งพวกเขาค้นพบ (ในระหว่างเส้นทางการพัฒนา) นอกจาก “สัจจะสูงสุด” ของชีวิตมนุษย์ดังว่าแล้ว พวกเขายังค้นพบ “กฎการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง” ในแง่ “สิ่ง” ที่เป็น “สภาวธรรม” (National Matterial Law)อีกด้วย

พวกเขาจึงสามารถ “ดัดแปลง” สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ดำรงอยู่อย่าง “สัมพันธ์” ในดาวโลกดวงนี้ ให้มา “รับใช้” เพื่อสนอง “ความกลัว” และ “ความต้องการอยู่รอด” อย่างสะดวกสะบายยิ่งขึ้นๆของพวกเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เรียกว่า “การมุ่งเพียงพัฒนาทางวัตถุ” อย่างไม่หยุดหย่อนแต่เพียงด้านเดียวเป็นด้านหลัก จนละเลย “สัจจะสูงสุดของชีวิต” คือการเกิดมาเพื่อ “ดำรงร่วมกับสรรพสิ่งอย่างสงบสุขและสันติ” ไปสิ้น!

ท้ายสุด การค้นพบ “ความจริงเชิงวัตถุ” ดังกล่าวนี้เองคือ “กับดัก” ของพวกเขา

พวกเขาผนวกรวม “คุณค่า” ของความจริงแท้อีก 2 เรื่อง คือเรื่อง “ความดี” (จริยธรรม) และ “ความงาม” (ศิลปะ)ให้กลายไปเป็นเพียง “สินค้า” (สิ่งที่สามารถประเมินค่าเป็น “มูลค่า” ได้) เหมือนกับสิ่งอื่นๆที่พวกเขา “ผลิต” ได้ไปเท่านั้นเอง!

สิ่งที่พวกเขาบูชายกเป็นคุณค่าสูงสุดจึงเหลือเพียง “กำไรสูงสุด” ที่ประเมินค่าออกมาเป็นสิ่งที่พวกเขาสมมติเรียกว่า “เงิน” อย่างที่ปรากฏชัดเป็นภาพฉายใน “จิตใจ” ของผู้คนส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันนั่นเอง!

นอกจากความจริงสูงสุดที่เรียกว่า “เงิน” แล้ว “มรรค” ที่นำไปสู่สิ่งนี้ จึงได้รับการยกย่องเคารพสูงสุดไปด้วย นั่นคือเทคนิคหรือกระบวนการในการผลิต “เครื่องมือ” สำหรับทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึง “คุณค่า” นี้ได้ ได้แก่สิ่งที่เรียกว่า “ศาสตราวุธ” (เครื่องการประหัตประการชีวิต และ การทำลายสรรพสิ่งในโลกทั้งปวง)

ชื่อ “ศาสนา” ใหม่ของพวกเขา เป็นที่รู้จักกันในนามของสิ่งที่เรียกว่า “ทุนนิยมเสรีผูกขาด”

และเพื่อการบรรลุธรรมสูงสุดของศาสนานี้ การทำลายสรรพสิ่งในโลก รวมถึงการฆ่า “เซเปียนส์” หรือ “มนุษย์” ด้วยกัน จึงเกิดขึ้น ขยายขอบเขต และแทบจะไม่เห็นเค้าลางของการยุติ

พวกเขาจึงกลับสู่ “สัญชาตญาณแห่งการห้ำ” เพื่อการอยู่รอด เช่นเดียวกับบรรดาสัตว์สปีชีส์อื่นที่เกิดมาพร้อมๆกันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากมีแนวโน้มว่าจะสามารถพัฒนาข้ามพ้นมาหลายพันปีก่อนโน่นแล้ว (แต่รุนแรงกว่าหลายโกฏิเท่า)

สิ่งที่เรียกว่า “ความจริง ความดี และ ความงาม” ที่เคยเป็นเหมือน “มรรค” ที่จะนำพวกเขาข้ามพ้น “ห้วงโอฆสงสาร” แห่ง “ความทุกข์” ก็พังครืนลงด้วยพลังสูงสุดแห่งศาสนากระตุ้นกิเลสที่เรียกว่า “ทุนนิยมเสรีผูกขาด” ที่สามารถ “โปรแกรม” คุณค่าเอามนุษยชาติลงเป็น “ทาส” จนกลายเป็นกระแสหลักในหมู่ “โฮโมเซเปียนส์” อย่างที่เห็นๆกันอยู่ ในปัจจุบัน…เอวัง!!