ทวี สุรฤทธิกุล

ษิณธนญชัยมีบางสิ่งที่ “ร้ายกว่า” ศรีธนญชัยมาก นั่นเป็นเพราะษิณธนญชัยมีตัวตนจริง ๆ ส่วนศรีธนญชัยเป็นแค่ตัวละครในนิทาน

คนที่ติดตามการเมืองมาตั้งแต่ที่นายทักษิณ ชินวัตร มาเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรมใน พ.ศ. 2538 และได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีภายหลังการเลือกตั้งในปีนั้น คงจำคำพูด “โม้” ประโยคหนึ่งของเขาได้ว่า “ผมจะแก้ปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯให้ได้ภายใน 6 เดือน” แต่ทำไม่ได้ ทั้งยังได้ฉายาจากสื่อมวลชนยุคนั้นอีกด้วยว่า “ลิเก” คือชอบออกมาแสดงหรือพูดอะไรที่ดูดีแต่ล้มเหลว นั่นก็คือ “ธาตุแท้” ของชายคนนี้ ที่ชอบให้ความฝัน แต่พอทำจริงไม่ได้ก็ไม่รับผิดชอบอะไร

ต่อมาใน พ.ศ. 2543 ชายคนนี้ได้ตั้งพรรคการเมืองขึ้นพรรคหนึ่ง ชื่อว่า “ไทยรักไทย” มีการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ เพราะเป็นที่รวมของคนดัง ข้าราชการผู้ใหญ่ นักวิชาการที่มีชื่อเสียง และนักการเมือง “เก๋า ๆ” มากมาย (แต่น่าจะเป็นพวกเก๋าเจ้ง) พร้อมกับมีการออกพ็อกเกตบุ๊กเล่มหนึ่ง ชื่อ “ตาดูดาวเท้าติดดิน” ออกแจกและขายเป็นมหกรรม เนื้อหาคือเชียร์นายทักษิณที่เป็นหัวหน้าพรรค ว่าเป็น “อัศวินคลื่นลูกที่ 3” คือผู้นำในยุคของโลกแห่งการสื่อสาร ที่เติบโตมาจากคนรากหญ้า “เท้าจึงติดดิน” และพร้อมจะนำสังคมไทยไปสู่ความเจริญยิ่งใหญ่ในอนาคต “ตาดูดาว” ให้รุ่งเรืองไปอย่างกว้างไกล ร่วมกับการสร้างนิทานปรัมปราขึ้นในหมู่ชาวชนบทว่า นายทักษิณคือ “เทวดา” กลับชาติมาเกิด สร้างกระแส “ทักษิณฟีเวอร์” กระหึ่มไปทั้งประเทศ ดังนั้นผลการเลือกตั้งในปี 2544 พรรคไทยรักไทยจึงชนะเลือกตั้งมาเป็นเสียงข้างมาก โดยเชื่อกันว่าเป็นฝีมือการสร้างกระแสของบริษัทที่รับจ้างทำสื่อให้กับพรรคไทยรักไทยและนายทักษิณ แต่จากข้อมูลของ กกต. (น่าจะย่อมาจาก กระดาษ การ เลือกตั้ง) ที่เพิ่งตั้งขึ้นมาเป็นครั้งแรก บอกว่าน่าจะมีเงินสะพัดเป็นหมื่น ๆ ล้าน (แต่กระดาษการเลือกตั้งก็ทำอะไรไม่ได้)

จากนั้นก็เข้าสู่ยุค “ทักษิณครองเมือง” เพราะทันทีที่นายทักษิณ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ดำเนิน “ยุทธศาสตร์มืด” เหมือนในสมัยที่ทหารครองเมืองในช่วง พ.ศ. 2490 – 2500 ในยุคของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่มีการกำจัดคู่แข่งและศัตรูทางการเมืองอย่างเหี้ยมโหด แม้ว่านายทักษิณจะไม่ได้สั่งฆ่าใครนับสิบ ๆ คน แต่ก็ใช้วิธีบีบบังคับให้พรรคการเมืองต่าง ๆ เข้ามาสวามิภักดิ์ได้อย่างน่ากลัว เช่น กำความลับของผู้นำพรรคหลาย ๆ พรรคไว้ ถ้าไม่ยอมยุบพรรคมาเข้าด้วยกับพรรคไทยรักไทย ก็จะถูก “เผย” หรือ “แบล็กเมล์” เป็นต้น ทำให้พอมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ในปี 2548 พรรคไทยรักไทยก็ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย คือได้ ส.ส.เข้ามามากถึง 377 คน จาก ส.ส.ทั้งสภา 500 คน (ถ้าเป็นสมัยนี้ก็สามารถตั้งนายกรัฐมนตรีได้ โดยไม่ต้องพึ่ง สว. รวมทั้งที่พรรคฝ่ายค้านก็ไม่มีเสียงพอที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้อีกด้วย)

โชคดีของประเทศไทย เพราะพอขึ้นปีใหม่ในปี 2549 นายทักษิณก็ออก “แสดงลิเก” อีกรอบ ว่าจะล้างมือจากธุรกิจ ไม่ให้มีผลประโยชน์ทับซ้อน ด้วยการขายหุ้นของตนเองในบริษัทชินคอร์เปอเรชั่น จำนวนกว่า 70,000 ล้านบาท ให้กับบริษัทเทมาเสกของสิงคโปร์ ทว่าไม่ยอมเสียภาษีให้กับรัฐบาลไทยแม้แต่สลึงเดียว ด้วยการหลีกเลี่ยงโดยเทคนิคทางกฎหมาย ทำให้เกิดกระแส “สงสัยและรังเกียจ” นายทักษิณขึ้นมาทันที โดยเฉพาะในแวดวงนักวิชาการ ที่ออกมาจัดกิจกรรมวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างรุนแรง ร่วมกับก่อนหน้านี้ก็มีการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อขับไล่นายทักษิณด้วยข้อหาการคอร์รัปชันในเรื่องต่าง ๆ ที่ก็มีการขยายตัวขึ้นอย่างร้อนแรง ที่สุดนายทักษิณก็ประกาศยุบสภาและให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยที่มีการฮั้วกันที่จะโกงเลือกตั้งนำโดยพรรคไทยรักไทยนั้น ทำให้มีหลายพรรคไม่ลงเลือกตั้งร่วมด้วย และพอถึงวันเลือกตั้งก็มีการล้อมปิดบางหน่วยเลือกตั้ง ไม่ให้ประชาชนไปลงคะแนน เกิดการจลาจล จนกระทั่ง กกต.ต้องประกาศให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญก็ประกาศยุบพรรคไทยรักไทย ในข้อหาที่ฮั้วการเลือกตั้งดังกล่าว แต่ยังไม่ทันที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ เพราะเหตุที่มีการจลาจลเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ทหารจึงเข้ายึดอำนาจในวันที่ 19 กันยายน 2549 ในขณะที่นายทักษิณกำลังอยู่ในต่างประเทศ ซึ่งหลังจากนั้นก็ต้องระเห็จอยู่ในประเทศต่าง ๆ ถึง 17 ปี โดยเพิ่งจะได้กลับเข้ามาประเทศไทยเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 ด้วย “ดีลลับลังกาวี” ที่กำลังสร้างปัญหาให้กับประเทศไทยและคนไทยอยู่อย่างมากมายในเวลานี้

ผู้เขียนไม่ได้เกลียดนายทักษิณเป็นการส่วนตัว ยังจำได้ว่าตอนที่นายทักษิณขายหุ้นให้แก่เทมาเสกในปี 2549 แม้ว่าผู้เขียนจะร่วมอยู่ในการจัดกิจกรรมต่อต้านนายทักษิณอยู่ในตอนนั้นด้วย ก็ยังเคยเสนอว่าถ้านายทักษิณคิดกลับตัวกลับใจ ยอมเสียภาษี รวมทั้งขอโทษประชาชน ก็น่าจะให้อภัยนายทักษิณได้ แต่เมื่อต่อมาได้เห็นว่านายทักษิณยิ่งดื้อและแสดงพลังที่จะกำจัดพวกต่อต้าน ก็ทำให้เปลี่ยนใจมองไปว่า นายทักษิณคงเป็น “คนเลวจริง ๆ” เสียแล้ว และนั่นก็คือสิ่งที่เราได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็น “ความเลว” ของนายทักษิณในเวลานี้ เพราะแม้กระทั่งกระบวนการยุติธรรมที่ให้โอกาสกับนายทักษิณ ยอมให้กลับเข้ามาประเทศ มารับโทษ แล้วก็ได้รับการลดโทษ จนกระทั่งได้พักโทษแล้ว นายทักษิณก็ไม่ได้ให้ความเคารพหรือยำเกรงแม้แต่น้อย ทั้งยังได้แสดง “ความกร่าง” กระทืบซ้ำกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดนั้น ให้อัปยศจนจมดินอีกด้วย

ไม่มีใครรู้ได้ว่านายทักษิณกำลังจะคิดทำการ “ย่ำยี” อะไรกับประเทศไทยอีกต่อไป บ้างก็ว่าเขาอาจจะแค่คิด “ฟอกตัว” จากความชั่วความเลวต่าง ๆ ที่ได้ทำมา บ้างก็ว่าเขาแค่อยากสร้างตระกูลชินวัตรให้ยิ่งใหญ่ โดยยังมีความหวังอีกอย่างหนึ่งที่จะให้ลูกสาว “ขี้ฉ้อโกงข้อสอบ” ได้เป็นนายกรัฐมนตรี บ้างก็ว่าเขาอยากจะเป็น “เจ้า” หรือแม้กระทั่งเป็นประธานาธิบดีในสาธารณรัฐที่ 1 ของไทย หรือบ้างก็ว่าเขาแค่อยากจะเป็น “เทพเจ้า” ให้คนจดจำและกราบไหว้

ผู้เขียนก็เหมือนกับคนไทยอีกจำนวนมากที่เชื่อว่า “พระสยามเทวาธิราช” มีจริง และหลายครั้งแล้วที่ท่านได้ “กอบกู้” หรือ “คลี่คลาย” วิกฤติต่าง ๆ ให้กับประเทศไทย พระองค์ท่านคงติดตาม “วิกฤติษิณธนญชัย” อยู่อย่างใกล้ชิดด้วยเช่นกัน และคงพร้อมที่จะจัดการกับวิกฤตินี้อยู่ตลอดเวลา บางทีโดยที่เราไม่ต้องกราบวิงวอนร้องขอ แต่ทรงจะเข้าจัดการในเวลาที่เหมาะสม

เราไม่ต้องการสังคมที่เห็นว่า “คนที่โหดและเลว” เป็น “คนดี” รวมถึงที่ไม่อยากกราบไหว้คนที่ยกตนเป็นเทพ ที่อาจจะชื่อว่า “ษิณธนญชัยธิราช” นั้นเลย