ปัญหาเฉพาะตัวของ พรรคเพื่อไทย เกิดขึ้นระลอกแล้ว ระลอกเล่า อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการปรับครม. เศรษฐา1/1
จากกรณีการลาออกของ ปานปรีย์ พหิทธานุกร ภายหลังได้รับการแต่งตั้งเป็นรมว.ต่างประเทศ เหลือเพียงเก้าอี้เดียว ยังไม่รับความอึดอัดคับข้องใจจาก คนอกหัก ที่ถูกปรับ
ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ในพรรคเพื่อไทย ทั้ง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ,ไชยา พรหมา และพวงเพ็ชร ชุนละเอียด
มาถึงกรณีล่าสุดเมื่อการแต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน ให้นั่งในตำแหน่ง รมต.ประจำสำนักนายกฯ ทั้งที่รู้ว่าคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีมีปัญหาที่อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ ต่อมาถูก
กลุ่ม40สว. เข้าชื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรี ทั้งพิชิต และ เศรษฐา ทวีสิน นายกฯ สิ้นสุดลงด้วยหรือไม่
แม้เรื่องนี้ พรรคเพื่อไทย จะแก้เกมด้วยการที่ พิชิต ตัดสินใจลาออกจากรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 พ.ค.67 ที่ผ่านมา เพื่อหวัง ตัดตอน ไม่ให้ไฟลุกลามไปถึงนายกฯเศรษฐา แต่
กลายเป็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ยังคงมีมติ รับคำร้อง เอาไว้พิจารณา แต่ไม่มีคำสั่งให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่
ซึ่งแตกต่างไปจากกรณีที่มีการเทียบเคียงกรณีเมื่อครั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้อง ของสส. ฝ่ายค้าน ที่ขอให้วินิจฉัยวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์
โดยศาลฯมีคำสั่งให้ หยุดปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ 24 ส.ค. 65 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
แต่ในรายของนายกฯเศรษฐา เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ มีมติรับคำร้องเอาไว้พิจารณา แต่ยังไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ย่อมไม่ได้หมายความว่า พรรคเพื่อไทยและตัวเศรษฐาเอง
จะมั่นใจได้ว่า คำวินิจฉัยให้เขาต้องสิ้นสุดการเป็นรัฐมนตรี สืบเนื่องจากการเสนอชื่อพิชิต จะไม่เกิดขึ้น ตามมาหลังจากนี้
ปฏิบัติการของ กลุ่ม40สว. จะบรรลุเป้าหมายหรือไม่ จะหวังไกลไปถึงขั้นให้เศรษฐาต้องหลุดจากเก้าอี้นายกฯคนที่30 จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ แต่นาทีนี้ อย่างน้อยที่สุดคือ
การที่ เจ้าของรัฐบาลอย่าง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ประเมินได้แล้วว่าดีลลับ ที่เคยทำเอาไว้ก่อนหน้านี้ อาจไม่ใช่มี ตัวเขาเองที่มีแต่ได้กับได้เท่านั้น โอกาส เสีย และถูกเขย่า เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ !