ทวี สุรฤทธิกุล
สุภาษิตเตือนไว้ว่า คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด แต่ในบางสังคมคนจำนวนมากก็ยอมเป็นเหยื่อของคนฉลาด เพียงเพื่อประโยชน์เฉพาะหน้าหรือให้ได้เพื่อพึ่งบารมี
เรื่องที่ทำให้คนไทยต้องโง่อยู่เป็นประจำก็คือ “การเลือกตั้ง” เพราะทุกครั้งนักการเมืองก็จะออกมาโกหกพกลม ว่าจะเนรมิตสิ่งโน้นสิ่งนี้ เช่นล่าสุดเมื่อการเลือกตั้งปี 2566 ก็บอกว่าทันทีที่ได้เป็นรัฐบาลจะเสกเงินดิจิตอลแจกทุกคน 10,000 บาท จะขึ้นค่าแรงเป็น 600 บาท จะปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย โดยจะแก้รัฐธรรมนูญภายใน 1 ปี ฯลฯ แต่นี่อีก 2 เดือนก็จะครบเดือนที่ได้มาเป็นรัฐบาล เงินดิจิตอลก็ยังไม่มีอะไรชัดเจน ค่าแรงแค่จะขึ้น 400 บาทก็ดูจะล่ม และแก้รัฐธรรมนูญจะครบปีนี้แล้วก็ยังทะเลาะกันอยู่ว่าจะทำประชามติเรื่องอะไร (ทั้งยังเชื่อกันว่าเป็นแค่เกมซื้อเวลา ครบเทอม 4 ปีก็คงไม่เสร็จ)
หลังเลือกตั้ง พอตั้งรัฐบาลในเดือนสิงหาคมได้เพียง 2 วัน “หัวหน้าแมงโง่” คือนักโทษชายคนหนึ่งบินกลับเข้าประเทศไทยอย่างหรูด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว โดยมีผู้คนมากมายไปต้อนรับอย่างกับวีรบุรุษ นักโทษชายคนนี้หลอกคนไทยอยู่กว่าครึ่งปี ว่าป่วยจริงหรือไม่ แต่ที่หลอกได้แนบเนียนที่สุดก็คือ หลอกคนในกระบวนการยุติธรรม (รวมถึงที่ทั้งตบและกระทืบ) ว่าอยู่เหนือกฎหมายที่ไม่ต้องติดคุกแม้แต่นาทีเดียว แต่ที่น่าเศร้าที่สุดก็คือคนในรัฐบาลที่ไปซูฮกให้กับนักโทษชายคนนี้ แถมยังช่วยกันพูดแก้ตัวและเอออวยกันอย่างไร้ยางอาย ทำให้ทุกวันนี้นักโทษชายคนนี้ยังกร่างและพลุกพล่านไปหลอกหลอนคนไทยไปทั่วประเทศ
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ “ลูกหัวหน้าแมงโง่” ที่อวดนโยบาย “พลัง(ปัญญา)อ่อน” (Soft i-d-i-o-t Power) ว่าจะสร้างวัฒนธรรมประเพณี ตลอดจน “ของดี” ต่าง ๆ ของไทย ให้นำรายได้เข้าสู่ประเทศให้มาก ๆ ตั้งแต่ประกาศจะให้มีสงกรานต์ทั้งเดือนเมษายน ไปจนถึงอาหารการกินและแฟชั่นเสื้อฝ้า แต่ว่าตัวเองกลับพาครอบครัวไปเที่ยวฮ่องกงในช่วงสงกรานต์ แถมในทุกเวลาที่ออกสื่อก็จะแต่งตัว “ถม” ไปด้วยแบรนด์เนมจากต่างประเทศ ล่าสุดนั้นก็ “สู่รู้” หาญกล้าแสดงความคิดเห็นวิจารณ์ธนาคารแห่งประเทศไทย จนถูกทัวร์ลงโต้กลับ “แหกเยิน” ไม่กล้าออกสื่ออีกเลย (แต่คาดว่าถ้าแผลหายเยินหรือมีอะไรมายั่วอีก ก็คงกลับมาแสดงสติปัญญาที่ “นิ่มๆ” อีกดังเดิม)
ล่าสุดคือ “ดราม่าพาณิชย์” โดยรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงที่(ว่ากันว่า)จัดฉากพาสื่อไปชมการรับประทานข้าวเน่า 10 ปีที่โกดังในจังหวัดสุรินทร์ ด้วยการขย้อนเข้าปากอย่างระมัดระวัง พอมีคนบอกว่าทานน้อยและทานแต่กับ ก็อ้างว่ามีปัญหาสุขภาพ ทานมากไม่ดี แต่เมื่อพิจารณาจากสีหน้าคนที่ร่วมรับประทาน ก็ล้วนแต่ดูท่าหวาด ๆ ไม่ได้แสดงความเอร็ดอร่อยแต่อย่างใด ก็แสดงว่าข้าวนี้อาจจะไม่ปลอดภัย ทั้งนี้ทราบว่าที่ออกมาจัดอีเวนต์โชว์ครั้งนี้ ก็เพื่อระบายข้าวออกไปขายต่างประเทศ แต่เมื่อประเทศที่มีข่าวว่าเป็นเป้าที่ข้าวเน่าเหล่านี้จะถูกส่งออกไปโบกมือห้ามไม่เอาข้าวเน่านี้ ทั้งรัฐมนตรีและลิ่วล่อก็เงียบไป รวมถึงที่มีข่าวว่าจะเอาข้าวเน่านี้ไปหุงให้ทหารเกณฑ์กิน รัฐมนตรีกลาโหม “ส้มหล่น” ก็ตะโกนแก้ตัวเป็นพัลวัน ว่าแค่เผลอพูดผิดไป
เคยมีคนพูดว่าประเทศไทยเป็นสังคมศรีธนญชัย ในความหมายที่ว่าเรามีพวกนักกฎหมายที่อยากมีอำนาจและประจบเลียนักการเมือง จึงพยายามสร้างเหตุผลต่าง ๆ ที่จะช่วยให้นักการเมืองนั้นรอดพ้นจากการถูกลงโทษหรือเอาผิดในทางกฎหมายนั้นได้อยู่เรื่อย ๆ (รวมถึงที่ช่วยนักโทษชายคนหนึ่งให้ได้รับการลดโทษและพักโทษนี้ด้วย) แต่ถ้าเราวิเคราะห์ “ธาตุแท้” ของศรีธนญชัยในนิทานนั้นจริง ๆ จะพบว่า ศรีธนญชัยไม่เพียงแต่ “เจ้าเล่ห์” จนเกินฉลาด แต่ยังเป็นคนที่ “เหี้ยมโหด” และ “โฉดชั่ว” เป็นอย่างมาก
ผู้เขียนเคยอ่านวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาปริญญาโทในด้านไทยคดีศึกษาคนหนึ่ง (ขออภัยที่จำชื่อผู้จัดทำและชื่อวิทยานิพนธ์เต็ม ๆ ไม่ได้ เพราะเคยอ่านตั้งแต่สมัยที่เป็นอาจารย์ใหม่ ๆ ใน พ.ศ. 2531) จำได้อย่างหนึ่งเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ว่า เป็นเรื่องของ“คนชั่วที่ฉลาดแบบเจ้าเล่ห์และสุดเหี้ยมโหด” ตั้งแต่ครั้งที่ศรีธนญชัยยังเด็ก ๆ แม่บอกให้ช่วยเลี้ยงน้องที่ยังแบเบาะ แต่น้องนั้นร้องโยเย ศรีธนญชัยก็มาฟ้องแม่ แม่ก็พูดไปลอย ๆ ว่า ให้เอาน้องไปอาบน้ำ แล้ว “ล้างนอกล้างในให้สะอาด” เดี๋ยวก็เงียบ แล้วก็เอาน้องเข้านอนได้ ศรีธนญชัยก็เอามีดมีกรีดท้องของน้อง ควักเอาอวัยวะข้างในออกมาแล้วล้างยัดเข้าไปใหม่ เสร็จแล้วก็อาบน้ำแต่งตัวปกปิดรอยชำแหละนั้นไว้ แล้วเอาเข้านอนไว้ในเปล โดยประแป้งให้ดูดีอีกด้วย หรืออย่างตอนที่ได้รับพระราชทานที่ดินเป็นรางวัลจากกษัตริย์ ศรีธนญชัยก็ทำทีว่าตัวเองมักน้อย ขอพื้นที่เป็นรางวัลแค่ “แมวดิ้นตาย” เมื่อทรงเห็นชอบแล้ว ศรีธนญชัยก็จับเอาแมวตัวหนึ่งมาล่ามเชือก แล้วไล่ตีแมววิ่งไปรอบ ๆ เมือง กว่าแมวจะตายก็ได้ที่ดินไปหมดทั้งเมืองนั้น
แน่นอนว่านิทานเรื่องศรีธนญชัยเป็นเรื่องแต่งหรือเรื่องสมมติ อาจจะแค่เพื่อความสนุกสนาน ไม่ได้เน้นคติธรรมสั่งสอนใจอะไร แต่ถ้าเราศึกษาให้ลึกซึ้งอย่างที่นักศึกษาคนนี้ได้ศึกษาไว้แล้ว ก็อาจจะพบว่ามันซ่อน “คติ” หรือแนวคิดอะไรที่ตีความได้มากมายอยู่เหมือนกัน ที่น่าสนใจก็คือ นิทานเรื่องศรีธนญชัยมีความเก่าแก่และเล่าขานกันต่อ ๆ มาในครอบครัวของคนไทยในหลาย ๆ ภูมิภาคมาช้านาน (ในภาคอีสานที่ผู้เขียนเคยอยู่สมัยเป็นเด็กเรียกชื่อว่า “เซียงเมี่ยง” หรือเณรที่ชื่อไอ้เมี่ยง) มีเนื้อหาถึงความฉลาดแกมโกงดังกล่าว ซึ่งอาจจะสื่อได้ว่าคนไทยชอบเรื่องราวที่ตลกขบขันในความฉลาดแบบเจ้าเล่ห์นั้น จนมีนักวิชาการบางส่วนเชื่อว่า ลึก ๆ แล้ว คนไทยก็อาจจะมีนิสัยแบบนั้นเหมือนกัน รวมทั้งก็ยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่เชื่อกันว่า ศรีธนญชัย(หรือเซียงเมี่ยง)นี้น่าจะมีตัวตนจริง ๆ มาตั้งแสมัยโบราณ เพียงแต่ “วีรกรรม” ต่าง ๆ อาจจะเป็นการตกแต่งให้ดูเกินจริงหรือ “เกินเลย” ไปบ้าง รวมถึงที่เชื่อว่า “คนในตระกูลศรีธนญชัย” นี้ อาจจะมีการสืบตระกูลกันมาจนถึงทุกวันนี้อีกด้วย
เมื่อพิจารณาสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย ผู้เขียนก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เชื่อว่า ขณะนี้ศรีธนญชัยได้ “กลับชาติมาเกิด” แถมยังมาเกิดในสภาวะที่ “โหดและโฉด” ยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังคิดว่าคนไทยนี้แสนโง่ จะหลอกจะจูงจะทำอะไรก็ได้ รวมถึงที่ยังคิดที่จะครองบ้านเมืองนี้ไปอีกนานแสนนาน
ถ้านานแบบนั้นก็ขอเรียกประเทศไทยภายใต้ระบอบนี้ว่า “ชั่วถึงลูกหลานและสุดโฉดตลอดกาลนาน”