สถาพร ศรีสัจจัง นายกฯ ลุงตู่ในฐานะเป็นคน “อาสาเข้ามาแก้ปัญหาประเทศไทย” และได้รับพระเมตตาโดยตรงจากพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศในการไว้วางพระทัยให้บริหารประเทศในยามวิกฤติ จะต้องทำตัวเป็น “ต้นแบบ” ให้ราษฎรของพระองค์ท่านได้เห็นว่า เป็นผู้นำที่แท้จริงในการ “ปฏิบัติบูชา” ไม่ใช่การพูดแต่ปาก เหมือนกับที่บรรดา “ท่านผู้นำ” ที่มาจาก “นักเลือกตั้ง” ทั้งหลายทำกันมาในอดีต             และการปฏิบัติบูชาในยามนี้ คงไม่มีเรื่องไหนสำคัญและเร่งด่วนเท่ากับการ “สถาปนา” ให้ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงที่พระองค์ท่านพระราชทานไว้เกิดขึ้นให้ได้อย่างแท้จริงในประเทศนี้ เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ อย่างมีจังหวะก้าวที่มั่นคง และท้ายสุดคืออย่างยั่งยืน              ชาวสภากาแฟฝากให้ข้อเสนอกับนายกฯลุงตู่มาอย่างมากมายในเรื่องนี้ ว่าควรจะทำอย่างไร มีขั้นตอนอย่างไร ต้องเริ่มตรงไหน ใช้คนกลุ่มไหนเป็นหลัก ฯลฯในการผลักดันเรื่ิองนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญที่สุดของประเทศ               พวกเขาบอกว่า ก็ในช่วงที่นายกฯลุงตู่มี “อำนาจพิเศษ” อยู่อย่างในปัจจุบันนี่แหละ ที่เหมาะสมจะผลักดันเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้ความเหน็ดเหนื่อยที่ลงเรี่ยวลงแรงเสี่ยงมามากจากการยึดอำนาจรัฐต้องสูญเปล่า              นอกจากจะต้องเริ่มที่ระบบราชการและคนราชการดังที่ว่ามาแล้ว ชาวสภากาแฟยังเสนออีกว่า ยังมีอีก 2 กลุ่มสำคัญที่ต้องเริ่มดำเนินการในเรื่องนี้เลย คือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับชาวบ้านโดยตรง ซึ่งหมายถึงองค์กรระดับชาวบ้านที่เกี่ยวกับกระทรวงมหาดไทย อันได้แก่หน่วยงานตั้งแต่ระดับกรมต่างๆ เช่นกรมการปกครอง จนถึงระดับ อบจ./เทศบาล/อบต./และโดยเฉพาะกำนันผู้ใหญ่บ้าน              ในกลุ่มทางการศึกษานั้น ชาวสภากาแฟเสนอว่า ต้องจัดให้มีรายวิชาที่เกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจพอเพียงบังคับเรียนในทุกระดับ แต่ต้องใช้นักจัดทำหลักสูตรมืออาชีพที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้มีลักษณะกลไก และต้องวางแผนผลิตครูที่รับผิดชอบในเรื่องนี้อย่างจริงจังเป็นพิเศษเพื่อให้มีศิลปะในการสอน รายละเอียดในการจัดทำหลักสูตรและวางแผนการศึกษานั้นต้องทำเชิงบูรณาการ คือใช้ผู้รู้จากหลายฝ่ายมาวางแผนร่วมกัน โดยมีจุดประสงค์อยู่ที่ทำให้ผู้เรียนสนุก เห็นคุณค่า เกิดแรงดาลใจและศรัทธาในการวิถีดังกล่าวเป็นหลัก               ชาวสภากาแฟเสนอว่า เฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทยนั้นสำคัญมาก ดังนั้นจึงต้องเอาจริงเอาจังเป็นพิเศษต้องที่ระบบการติดตามประเมินผลอย่างแม่นยำเฉียบขาด(ให้ชาวบ้านประเมินกันเองเป็นหลัก) ต้องมีเป้าและตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรม มีบทลงโทษ เช่น พักงานหรือให้พ้นจากหน้าที่ ในขณะเดียวกันก็มีระบบการยกย่องชมเชยให้รางวัล มีการประกวดในทุกระดับ เช่น ในตำบลให้แต่ละหมู่บ้านประกวดประชันกัน แต่ละอำเภอมีการประกวด อบต.และเทศบาล ฯลฯ                 ให้ไล่เบี้ยและให้รางวัลไปตั้งแต่รัฐมนตรีจนถึงนายก อบต.และผู้ใหญ่บ้านทุกรอบประเมิน                เชื่อเถอะ-งานนี้ต้องมีรัฐมนตรี นายก อบต. หรือไม่ก็กำนันผู้ใหญ่บ้านที่ต้องถูกปลดให้เห็นกันบ้างละ!                ชาวสภากาแฟตอกย้ำว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องพูดเล่น ต้องถือเป็นเรื่องเอาเป็นเอาตายของนายกลุงตู่ทีเดียว ก็มีเครื่ิองไม้ เครื่องมืออยู่ตั้งมากมาย ทั้งสนช. ทั้งสภาขับเคลื่ิอน ทั้งที่ปรึกษาโน่นนี่ ทั้งนักวิชาการทหารใหญ่ทั้งหลาย ทั้งนักกฎหมายระดับมือพะกาฬ ฯลฯ                ถ้าไม่ทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องนโยบายเร่งด่วนสำคัญ มัวไปตกหลุมตกร่องหลงทางอยู่กับการแก้ปัญหา “รูทีน” ซ้ำซาก ก็รับรองได้ว่าจะเป็นการ “เข้าทาง” อีกฝ่ายเป็นแน่แท้!                ลงท้ายคนที่ต้องเศร้านักหนาคงไม่ใช่ท่านนายกฯลุงตู่หรอก เพราะแน่นอนว่าเมื่ิอถึงเวลาท่านก็ต้องไป แต่ราษฎรชาวบ้านของพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศสิ ที่ต้องอยู่ตลอดไป!                หรือนายกฯลุงตู่จะใจดำ ไม่ยอมทำเรื่องสำคัญเช่นนี้ให้ชาวบ้านได้ชื่นใจ เพราะรู้สึกได้ว่านายกฯลุงตู่เป็น'พวกเดียวกัน'  เพราะมีความจงรักภักดีต่อพระองค์เป็นล้นพ้นจนประมาณมิได้อย่างแท้จริงเหมือนพวกเขา!!!