การปรับครม. รอบใหม่ “เศรษฐา 1/1” สร้างแรงกระเพื่อม เขย่า “เพื่อไทย” ทั้งพรรค ชนิดที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนว่า ผลสะท้อนกลับจากความรู้สึก น้อยใจ ไม่พอใจ และรับไม่ได้จากการปรับครม.จะรุนแรงมากมายมาเช่นนี้ ทั้งที่หลายคนรู้ดีว่า ทุกการตัดสินใจว่าใครจะอยู่ หรือถูกริบเก้าอี้คืนนั้น ไม่ได้อยู่ที่ ทำเนียบรัฐบาลเพียงจุดเดียว 
 แต่เมื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” ซึ่งบัดนี้ก็เหลือเพียงเก้าอี้เดียว คือนายกรัฐมนตรี ออกโรงมารับหน้าเสื่อ “แรงกระเพื่อม” อันเกิดจาก ตัวรัฐมนตรีที่ถูกปรับออก ไปจนถึงกองเชียร์ทั้งในและนอกพรรค จึงพุ่งเข้าใส่ นายกฯเศรษฐา อย่างที่เห็น


 การตัดสินใจยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ” ของ “ปานปรีย์ พหิทธานุกร”  ภายหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ครม.ชุดใหม่ ประกาศออกมาชัดเจนแล้วว่า ปานปรีย์ เหลือเพียงตำแหน่งรมว.ต่างประเทศ เก้าอี้เดียว 


 การลาออกของปานปรีย์ กลายเป็นเอฟเฟกต์ ที่เกิดขึ้นเพียงส่วนเดียวภายในพรรคเพื่อไทย อันสืบเนื่องมาจากการปรับครม.ครั้งนี้  ทั้งความไม่พอใจ ความน้อยใจของคนที่ถูกปรับออก ไม่เหลือตำแหน่งใดๆอย่าง “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” พ้นจากกระทรวงสาธารณสุข  โดยที่จนถึงเวลานี้ เจ้าตัวยังไม่ออกมาให้สัมภาษณ์ใดๆ แต่ไม่ได้หมายความว่า นพ.ชลน่าน จะไม่รู้สึกกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง 


 เพราะอย่าลืมว่า นพ.ชลน่าน เคยมีดีกรีเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และเป็นผู้ที่ได้รับแรงกดดันอย่างรุนแรงจากกรณีที่พรรคเพื่อไทย ข้ามขั้วมาจับมือกับ “พรรค2ลุง” แยกทางกับพรรคก้าวไกล ก็เป็น นพ.ชลน่าน ที่ถูก “ด้อมส้ม”  และ “กองเชียร์” พรรคก้าวไกลรุมถล่มมากกว่าใคร


 และเมื่อการปรับครม.มาถึง นพ.ชลน่าน ต้องลุกจากตำแหน่ง แล้วเปิดทางให้ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” เข้ามานั่งแทนที่ ทั้งที่สมศักดิ์ เพิ่งหอบหิ้ว “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” กลับเข้าพรรคเพื่อไทย ก่อนการเลือกตั้ง ไม่นาน คำถามคาใจสำหรับ สมาชิกในพรรคเพื่อไทยที่เฝ้ามองปรากฎการณ์ครั้งนี้ด้วยความงุนงง เพราะจะยิ่งทำให้มือทำงานที่ยอม “ตายแทน”  อีกหลายคนในพรรคเหมือนกับนพ.ชลน่าน ย่อมกังวลถึงความมั่นคงทางการเมืองของตัวเอง 


 แน่นอนว่าจากนี้ ในส่วนของ นายกฯเศรษฐา และ “เจ้าของบ้านจันทร์ส่องหล้า” จะต้องหา “คนใหม่” เข้ามาแทนปานปรีย์ ได้ไม่ยากเมื่อพรรคเพื่อไทย ยังพอมีตัวผู้เล่นลงสนาม แต่เมื่อมาแล้วจะเป็นที่ยอมรับหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง 


 แรงกระเพื่อมภายในพรรคเพื่อไทย  อันเกิดจากการเคลื่อนไหวของปานปรีย์ และภาพการกลืนเลือดของนพ.ชลน่าน คือ บาดแผลรอยใหม่สำหรับพรรคเพื่อไทย ที่จะถูกฝั่งตรงข้ามนำไปขยายผล โจมตีรัฐบาลทั้งแต่หัวขบวน กระทบไปถึงบ้านจันทร์ส่องหล้า ตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย  และมีความเป็นไปได้ที่เรื่องราวเหล่านี้ต้องทำให้ “จบ” และ “เงียบ” โดยเร็ว ไม่เช่นนั้นผู้คนก็มีแต่จะยิ่ง “ขุดคุ้ย” ขุดค้นขึ้นมาว่า แท้จริงแล้ว ปานปรีย์ แค่น้อยใจเพราะถูกริบเก้าอี้รองนายกฯ เท่านั้นจริงๆหรือไม่ ?!