ทีมข่าวคิดลึก การเมืองนอกบ้าน ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ยังอยู่ในระหว่างมี "แรงกระเพื่อม" ขณะเข้าสู่รอยต่อของการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง จากยุคของ "เดโมแครต" มาสู่ "รีพับลิกัน" แต่ดูเหมือนว่าเวลานี้ชาวอเมริกาบางส่วนยังไม่สามารถทำใจยอมรับ ได้ว่า "โดนัลด์ ทรัมป์" คือ"ว่าที่ประธานาธิบดี" จึงยังมีการเคลื่อนไหวประท้วง ต่อต้านทรัมป์ ลุกลามไปด้วยกันหลายเมือง แต่สำหรับประเทศไทยแล้วพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ยังอยู่ในช่วงของการไว้ทุกข์ ก็ต้องยอมรับว่าบรรยากาศทางการเมืองในบ้านเรา อยู่ในโหมดสงบนิ่ง สถานการณ์ไม่เอื้อให้นักการเมือง พากันออกมาขยับได้แต่อย่างใด จะด้วยทั้งคำสั่ง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ยังไม่ยอมเปิดไฟเขียว ตลอดจนด้วยในยามนี้ที่ประชาชนชาวไทย ต่างอยู่ในช่วงของการไว้อาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของ "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" ซึ่งเป็นเวลาครบ 1 เดือนเมื่อวันที่13 พ.ย.ที่ผ่านมา ถึงกระนั้น ใช่ว่าการเมืองจะเงียบและหยุดนิ่งไปเสียทีเดียว เพราะเมื่อจังหวะนี้ พรรคเพื่อไทยได้โอกาส "เอาคืน" ฝ่ายรัฐบาลและ คสช. ขณะที่กำลังเพลี่ยงพล้ำจากปัญหาราคาข้าวตกต่ำ การจัดอีเวนต์ "ขายข้าวช่วยชาวนา" ของเพื่อไทยจึงเกิดขึ้น โดยมี "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี รับบท "แสดงนำ" แม้จะเหน็ดเหนื่อย และโดนทั้ง "นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม" อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ และ "ทีมโฆษกรัฐบาล" กระแทกกลับ ก็ตาม แต่ด้วยยังมั่นใจว่า งานนี้อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ มีแต่จะได้แต้มต่อจากการจัดอีเวนต์ ส่วนจะมากหรือน้อย ก็คงไม่มีอะไรที่จะเสียหายมากกว่าที่ผ่านมา ทางด้าน "บิ๊กตู่"พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. เองพยายามที่จะหันกลับมาเล่นบท"ผู้นำรัฐบาล" เดินหน้าทำงานเพื่อให้ "ผลงาน" ปรากฏ เพราะต้องไม่ลืมว่าปัญหาราคาข้าวที่ตกต่ำนั้น อาจเป็นรายการแรกที่มาทดสอบรัฐบาล เนื่องจากยังมีพืชเกษตรอีกหลายรายการที่กำลังรอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไข ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่าเหตุใดพล.อ.ประยุทธ์ จึงเลือกที่จะเดินสายตรวจงานเป็นรายกระทรวง สลับไปกับการวางโปรแกรมเดินสายลงพื้นที่ต่างจังหวัด ในช่วงครึ่งเดือนหลังของ พ.ย.นี้เป็นต้นไปเพราะต้องการลงพื้นที่เพื่อ "สร้างความเชื่อมั่น" กับประชาชน ทุกกลุ่ม ไม่เฉพาะแต่ "ชาวนา" เท่านั้น เนื่องจากต้องไม่ลืมว่า การบริหารจัดการน้ำ ตลอดจนการ"จัดระเบียบสังคม"ในด้านต่างๆที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาตลอดกว่าสองปีที่ผ่านมาคือสิ่งที่เป็นเหมือนจุดแข็ง จุดขายของรัฐบาล คสช. การส่งเสียงปรามไปยังกลุ่มการเมืองฝั่งตรงข้ามว่า ใครจะทำอะไรเพื่อช่วยพี่น้องชาวนานั้นไม่เป็นปัญหา แต่ขอให้เป็นการทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็จะเป็นกุศลทั้งสิ้น อีกทั้งยังประกาศย้ำถึงสองครั้งสองคราว่า "ขอเวลาอีก 5 ปีจะทำให้ชาวนารวยขึ้น" แน่นอนว่า "คีย์เวิร์ด" ดังกล่าว อาจทำให้การเมืองฝ่ายตรงข้ามยิ่งหวั่นไหวมากขึ้นว่า นี่คือการ "ส่งสัญญาณ" จากพล.อ.ประยุทธ์ หรือไม่ว่า ขอเวลาอยู่ต่อเพื่อแก้ไขปัญหาใหญ่ให้ลุล่วง ส่วนจะ"อยู่ต่อ" ด้วยวิธีการใด วิถีแบบไหน ก็คงเป็นอย่างที่บิ๊กตู่ เคยบอกเอาไว้ ว่า "ไปหาวิธีกันมา" อาการ แทงกั๊ก จากบิ๊กตู่ จะลดน้อยลงไปจริงหรือไม่ ยังต้องจับตากันต่อไป ! แต่ที่ชัดเจน คือ "โอกาส" จากนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งอาจจะมีขึ้นอย่างช้าที่สุดคือราวต้นปี 2561 โดยขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสถานการณ์บ้านเมือง ก็ยังตกเป็นของ บิ๊กตู่ มากกว่าใครอยู่ดี !