สถาพร ศรีสัจจัง           

องค์การสหประชาชาติ(UN.) ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศบนโลก โดยชี้ว่าเดือนกรกฎาคม ปี 2023 ซึ่งถูกจัดว่าเป็นเดือนที่ร้อนสุดนั้น ภูมิอากาศโลกได้เปลี่ยนจากยุค “โลกร้อน” เข้าสู่ยุค “โลกเดือด” หรือ “Global Boiling” ไปเรียบร้อยแล้ว

นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศทั่วโลกสรุปตรงกันว่า ในรอบ 8 ปีที่ผ่านมา (จนถึงเดือนกรกฎาคม ค.ศ.2023)โลกร้อนขึ้นมากผิดปกติ สาเหตุหลักเกิดจากการเผาไหม้ของฟอสซิล(Fossil) ซึ่งก็คือ “น้ำมัน” และ แก๊สทั้งหลายที่มนุษย์ในโลกยังใช้เป็นพลังงานหลักในการดำรงชีวิตกันอยู่นั่นแหละ พวกเขาสรุปร่วมกันว่า มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่อุณหภูมิของโลกจะสูงขึ้นอีก 1.5 องศา!

ซึ่งนั่นหมายความว่า หายนะของมนุษยชาติจากเหตุ “น้ำท่วมโลก” ครั้งใหม่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นานนี้แล้ว (หลังจากเคยท่วมเพราะฤทธิ์แห่งความพิโรธของ “พระเจ้า” มาครั้งหนึ่งแล้วในยุคของ “โนอาห์” ตามตำนาน “น้ำท่วมโลก” ของศาสนาคริสต์?)

คำ “โลกเดือด” (Global boiling) เป็นคำภาษาไทยที่ช่างให้ความรู้สึกได้แจ่มชัดยิ่งนัก เป็น “ศัพท์บัญญัติ” ที่น่าชื่นชมสำหรับผู้คิดคำนี้มาใช้แทนคำ “global boiling” ในภาษาอังกฤษ เสียจริงๆ!

คำ “โลกเดือด” น่าจะมีความหมายหลักเป็น 2 นัย ความหมายแรก คงหมายถึง “ความร้อนที่พุ่งขึ้นจนถึงจุดเดือด” ของโลกในด้านที่เกี่ยวภูมิอากาศ และอีกความหมายหนึ่ง น่าจะหมายถึง “ความเดือด” ด้านเหตุการณ์ความขัดแย้งเชิงผลประโยชน์หรือเชิง “เศรษฐกิจ-การเมือง” ของบรรดา “รัฐชาติ” ต่างๆในโลกยุค “เงินเป็นใหญ่-กำไรสูงสุด” อย่างที่เห็นกันอยู่ชัดๆในสังไทยและสังคมโลกปัจจุบัน

หลัง “สงครามเย็น” ที่เริ่มเกิดมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ของ “ 2 ค่าย” คตินิยมทางการเมืองโลก ที่ฝ่ายหนึ่งซึ่งมีสหรัฐอเมริกา-ที่มีอำนาจและมั่งคั่งขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นประเทศ “จักรวรรดินิยมตัวใหม่”เป็น “ผู้นำ” กับค่ายที่ถูกเรียกว่า “สังคมนิยม” หรือ “คอมมิวนิสต์” ที่มีสหภาพโซเวียต(รัสเซีย)เป็นผู้นำ

สหรัฐอเมริกานั้นมั่งคั่งและมีอำนาจทางเศรษฐกิจ-การเมืองขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นผู้ “ชนะสงคราม” โลกครั้งที่ 2 โดยที่ประเทศตัวเองไม่บอบช้ำแม้สักกระผีกริ้น (เพราะพื้นที่สงครามไม่เกิดขึ้นในแผ่นดินของตัวเองเลย ขณะที่ประเทศจักรวรรดินิยมเดิม เช่น อังกฤษ และ ฝรั่งเศส ถูก “สงคราม” ทำลายเสียจนยับเยินและอ่อนแอลงมากในทุกด้าน)

และเพราะเป็นผู้ถือครองเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าที่สุดของโลกซึ่งเพิ่งค้นพบ คือพลังงานนิวเคลียร์หรือปรมาณูเป็นรายแรก (ก็มาจากการ “ลงทุน” เพื่อสร้างระเบิดปรมาณูที่นำไปทิ้งใส่เมืองฮิโรชิมะและนางาซากิของญี่ปุ่นจนคนบาดเจ็บล้มตายอย่างไม่เคยมีมาก่อน-นั่นแหละ)

ภายหลังเมื่อ “สงครามเย็น” สิ้นสุดลง สหภาพโซเวียตล่มสลาย สหรัฐอเมริกาก็กลายเป็น “บิ๊กเบิ้ม”หรือ “พี่เบิ้ม” แต่เพียงรายเดียวของโลก ไม่ว่า “จักรพรรดิยุคใหม่” ตนนี้เข้าไปถึงแผ่นดินไหน ที่นั่นก็จะเกิดภาวะขัดแย้ง เกิดสงคราม คนในชาติต้องทะเลาะฆ่าฟันกันเอง จนประเทศมักเกิดหายนะหรือไม่ก็ตกอยู่ในภาวะล้มละลาย

ใครไม่เห็นด้วยหรือตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้าม ก็บีบคั้นกดดันเขาทุกด้าน ใช้ทั้งพลังอำนาจทางกลาโหมและพลังเศรษฐกิจ-การเงินขนาดใหญ่ของตัว กดดันบีบคั้นทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงการใช้สิ่งที่พวกเขาเรียกว่าองค์กร"พันธมิตร"(ที่เกิดขึ้นเกลื่อนโลกในวันนี้)เป็นเครื่องมือในการ"รุม"ชาติอื่นหรือกลุ่มอื่นที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ตนอย่างไม่ละอาย-อย่างไม่เคารพกฎเกณฑ์มนุษยธรรมของชาวโลก

เมื่อสาธารณรัฐประชาชนจีนสามารถพัฒนาก้าวหน้าขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ก็มีท่าทีต่อต้านและเป็นปฏิปักษ์แบบไร้เหตุผล หลายชาติหลายประเทศเขารู้ทันก็เกิดการรวมตัวกันขึ้นบ้าง แล้วสิ่งที่ตามมาจึงคือความขัดแย้ง หลายแหล่งพัฒนาไปสู่ภาวะ “เดือด” จนเกิด “สงคราม”!

ที่จริง “ภาวะสงคราม เป็นสิ่งทีชาติจักรพรรดิยมยุคใหม่ต้องการให้เกิดเป็นอย่างยิ่ง (ขอเพียงอย่ามาเกิดที่แผ่นดินบ้านกูก็เป็นพอ!) เพราะกลุ่มทุนใหญ่ที่เป็น “เจ้านาย” ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังของพวกเขา(คือบรรดาพรรคการเมืองและนักการเมืองในประเทศจักรพรรดินิยมเหล่านั้น) จะได้กำไรอย่างมหาศาลจากการขายยุทธปัจจัยสงคราม ทั้งที่เป็นอาวุธทำลายล้างสมัยใหม่ (ที่ราคาแพงหูดับ) ยุทธปัจจัยอื่นๆ ตั้งแต่เครื่องบินรบ เรือรบ เรือดำน้ำ เครื่องมือป้องกันภัยทางอากาศ ฯลฯ รวมถึงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องอีกมากมายหลายประการ

ลองตั้งสติและพิจารณาคำนวณดูกันเอาเองเถิดว่า ในรอบเพียงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ที่บรรดาขาติซึ่งทำตัวเป็น “จักรพรรดินิยม” (Imperialist) ก่อให้เกิดภาวะ “โลกเดือด” (Global boiling)ทั้ งด้านสภาพภูมิอากาศ (ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่องมหาศาล) และด้านเศรษฐกิจ-การเมือง(ก่อสงครามทำลายล้างมนุษยชาติเพียงเพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์ตน) มีหายนะเกิดขึ้นกับโลกนี้อย่างไรบ้างแล้ว? 

นับแต่สหรัฐอเมริเข้าตั้งถิ่นฐานในทวีปอเมริกาเหนือ คนพื้นเมืองดั้งเดิมของที่นั่น (เช่น ชนกลุ่มที่โลกรู้จักในชื่อ “อินเดียนแดง”) ต้องตายและสูญเสียถิ่นฐานไปเท่าไหร่?ตั้งแต่สงครามโลกครั้ง 2 เป็นต้นมา ที่สหรัฐฯเข้าไปจุ้น ทำตัวเป็น “ตำรวจโลก” ทำให้คนทั้งในเอเชีย ลาตินอเมริกา  แอฟริกา  และตะวันออกกลาง ต้องบ้านเมืองวุ่นวายและผู้คนต้องล้มตายเสียชีวิตกันไปแล้วเท่าไหร่?

ประมวลดูง่ายๆเอาจาก ตั้งแต่พวกเขามาหย่อนระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมะกับนางาซากิของญี่ปุ่น(ที่เจ็บแล้วไม่จำ!?) ซึ่งมีคนตายพร้อมกันทีเดียวเป็นแสน คน บาดเจ็บต่อเนื่องอีกนับไม่ถ้วน จนถึงสงครามเวียดนามใกล้ๆเมืองไทยเรา คนเวียดนาม คนลาว คนกัมพูชา และ คนไทย ต้องตายไป (ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม)รวมแล้วกี่หมื่นกี่แสนชีวิต?

แล้วที่เข้าไปฆ่าคนในกลุ่มประเทศอาหรับอย่างที่อิรัก ลิเบีย(มาจนถึงปัจจุบัน?)อัฟกานิสถาน และอีกหลายแห่ง อย่างที่เห็นกันโต้งๆนั่นอีกละ-คนต้องตายและบ้านเมืองต้องพินาศไปอีกเท่าไหร่?

จนถึงวันนี้ที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนหยุดไม่ได้เป็นเพราะใครอยู่เบื้องหลัง? แล้วใครกันที่ปากว่าตาขยิบ(แบบหน้าด้านๆ) หนุนให้ยิว-อิสราเอลฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พี่น้องปาเลสไตน์แบบไม่อดสูแก่ใจ แม้ชาวโลกจะประท้วงจะประณามอย่างไรก็เหมือนคนหูตึง-คือไม่เคยได้ยิน แล้วที่อิสราเอลถล่มสถานทูตอิหร่านในซีเรียจนมีคนตายไปตั้งสิบกว่าคนอีกละ? ทำไมจึงกล้าทำตัวเหมือนไม่เคยรู้จักคำว่ากฎหมายและมนุษยธรรม ฯลฯ

จาระไนได้ไม่หมดไม่สิ้นจริงๆ!

ยังไม่ห็นกันอีกหรือว่าที่โลกต้อง “เดือด” นั่นนะ มีปฐมเหตุอยู่ที่ตรงไหน?

แล้วพี่ “ไทยแลนด์” ละ?วันนี้อยู่ในอาการอย่างไรบ้าง หลังเดินตามก้นมหามิตรชื่อนั้นมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2500 โดยการรับ “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ที่เขามาวางไว้ให้ (โดยคำขอของสฤษดิ์  ธนะรัชต์?) เพื่อตามก้นไป “ทันสมัย” แบบ “เห็นช้างขี้จะขี้ตามช้าง” นั่นแหละ!

แล้ววันนี้ผู้คนและบ้านเมืองเป็นอย่างไรบ้างละ?หนี้สินครัวเรือนทะลุไปเกินร้อยละ 95 ของจีดีพี.เข้าแล้ว เชื่อเถอะ ต่อให้ลูกพี่ผู้อยู่เบื้องหลัง “นายกฯเซลส์แมน” คนลงมาเล่นเอง ก็น่าจะต้องอ้วกแตกอ้วกแตนแน่นอน ก็ระบบคุณค่าที่เป็น “ราก” ของสังคมแบบบชาวพุทธ ที่สอนให้คนรู้จักพอเพียง ไม่เตลิดไปตามเพลิงกิเลสถูกค่านิยม “ทุนนิยม” ที่มากับความ “ทันสมัย” ทำลายล้างจนพังพินาศไปตั้งนานแล้ว หรือจะให้รอความหวังจากบรรดาพวกนักสู้ “เจน” ใหม่ ที่กำลังสนุกสนานเย้วๆชูนิ้วชูมือเพื่อโค่นล้มวัฒนธรรมของพ่อแม่ปู่ย่าตายายแบบไม่รู้จักแยกแก่นแยกกากอย่างที่เห็นๆกันอยู่?55!