เสือตัวที่ 6
กระบวนการสันติภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีการขับเคลื่อนอย่างเป็นจังหวะจะโคน พลิกพลิ้วไปตามสถานการณ์การต่อสู้ระหว่างรัฐกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนกันไปมาอย่างเท่าทัน จวบจนปัจจุบันกระบวนการนำมาซึ่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติท่ามกลางความแตกต่างทางความคิด อุดมการณ์ ความเชื่อและวัฒนธรรมอันหลากหลายได้ถูกร้อยเรียงผ่านเวทีการพูดคุยสันติสุขในสำนวนภาษาของรัฐหรือการเจรจาสันติภาพในสำนวนภาษาของฝ่ายขบวนการแบ่งแยกการปกครองจากรัฐที่ซ่อนปนเจตนารมณ์ในการยกระดับขบวนการแบ่งแยกการปกครองจากรัฐให้มีสถานะเทียบเท่ารัฐเพื่อประโยชน์ในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพบนเวทีการเมืองระหว่างประเทศอย่างแยบยลยิ่ง กระบวนการสันติภาพที่ต่างฝ่ายต่างพยายามช่วงชิงความหมายกันอย่างเข้มข้นนั้น ได้ทำให้การขับเคลื่อนกระบวนการสันติภาพเดินหน้าไปอย่างระมัดระวัง หลังจากที่อยู่ในกระบวนการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันอย่างยาวนานผ่านกระบวนการพูดคุย ก่อนหน้าที่คณะพูดคุยชุดเดิมจะหมดอายุลงตามรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
คณะพูดคุยฝ่ายรัฐบาลชุดใหม่ได้แสดงความกระตือรือร้นอย่างมากในอันที่จะสื่อสารเรื่องของการสร้างสันติภาพต่อสาธารณะ มีจัดแถลงชี้แจงข่าวหลายหน ซึ่งถือได้ว่าเป็นมาตรการที่ดีในการรณรงค์สาธารณะให้สนับสนุนกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ หากแต่ว่าการเดินหน้าพูดคุยอาจจะชะงักงันไปในห้วงที่กำลังมีรัฐบาลใหม่ ในขณะที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนโดยกลุ่มบีอาร์เอ็นซึ่งเป็นกลุ่มหลักในขบวนการดังกล่าวได้ชะลอการดำเนินการเพื่อรอดูความชัดเจนในระดับรัฐบาล จนกระทั่งมีรัฐบาลอย่างเป็นทางการแล้วกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพก็มีการเดินหน้าต่อไปอย่างระมัดระวัง ในช่วงที่รัฐได้รัฐบาลประชาธิปไตยใหม่ ทำให้หลายคนอาจจะคิดว่าน่าจะทำให้กลุ่มบีอาร์เอ็นมีแนวโน้มที่จะมีการคิดและตัดสินใจใดๆ ต่อกระบวนการสันติภาพที่กว้างขวางมากขึ้น ภายใต้บรรยากาศของระบบรัฐสภาและประชาธิปไตยที่กำลังเปิดกว้างให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันได้มากขึ้นบนพื้นฐานของการเปิดโอกาสให้มีบุคคลพลเรือนเข้ามาเป็นหัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติภาพฝ่ายรัฐเป็นครั้งแรก ตลอดจนการยกระดับการพูดคุยเพื่อสันติภาพในคณะกรรมาธิการของรัฐสภา เหล่านี้น่าจะเป็นก้าวแรกอีกครั้งหนึ่งในการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันอันเป็นจุดสำคัญในกระบวนการสันติภาพที่จะเดินต่อไปอย่างมั่นคง หากแต่แท้ที่จริงแล้วผลสัมฤทธิ์ของกระบวนการสันติภาพนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความจริงจังและความต่อเนื่องในระดับนโยบาย(รัฐบาล) อย่างที่สุด เพื่อให้กระบวนการสันติสุขเดินหน้าไปบนพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันอย่างเต็มร้อยนั้น บรรลุผลสุดท้ายตามที่ทุกฝ่ายมุ่งหวัง
และกระบวนการสันติภาพผ่านการพูดคุยที่อยู่บนพื้นฐานความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเปิดใจ ยอมรับฟังความเห็นความคิดซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง ซึ่งนั่นย่อมเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ความคิดความเห็นเหล่านั้นอาจไม่ตรงกับความคิดความเห็นของคู่เจรจา นั่นก็หมายความว่าในระหว่างทางและในท้ายที่สุดทั้งสองฝ่ายจะไม่มีใครได้ตามความมุ่งหวังไปทั้งหมด ทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายขบวนการตรงข้ามรัฐจะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายบนหลักการรัฐเดียวตามที่รัฐธรรมนูญแห่งรัฐบัญญัติไว้อย่างชัดเจน บนเส้นทางของการพูดคุยเพื่อสันติสุขจึงต้องยึดหลักการพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างกัลยาณมิตร ที่เรียกได้ว่าเป็นการหลอมรวมทางความคิดที่ไม่ใช่การต่อสู้ทางความคิดอย่างที่เคยกล่าวกันมา เส้นทางที่ก้าวเดินไปสู่จุดหมายสันติภาพจึงจะเป็นก้าวเดินที่มั่นคงบนความเห็นพ้องร่วมกันของทุกฝ่าย ซึ่งจะส่งผลให้สันติภาพดังกล่านั้น เป็นสันติภาพที่ยั่งยืนตามปรารถนา
และการจะสร้างสันติภาพให้ได้และอย่างยั่งยืนนั้นต้องมีองค์ประกอบปลายประการในกระบวนการทั้งระบบกฎหมายของรัฐ ความเป็นธรรม ตลอดจนความเสมอภาคของคนทุกภาคส่วนที่มิได้ให้สิทธิแก่ประชาชนเฉพาะพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเป็นพิเศษเท่านั้น รวมทั้งประเด็นสำคัญยิ่งคือการยอมรับในบรรทัดฐานของกฎหมายสูงสุดของรัฐนั่นคือรัฐธรรมนูญที่ระบุอย่างชัดเจนว่ารัฐไทยเป็นรัฐเดียวอันจะแบ่งแยกมิได้ บนพื้นฐานของบูรณภาพแห่งอาณาเขตเป็นสำคัญ ในขณะที่การแสดงออกทางความคิดของฝ่ายเห็นต่างจากรัฐที่ซ่อนปนไปในทุกองคาพยพของสังคมประเทศ ได้กล่าวเรียกร้องในทำนองว่าการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนนั่น ต้องให้หลักประกันในเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยอ้างอิงจากการที่ กอ.รมน.ภาค 4 (ส่วนหน้า) มีการฟ้องดำเนินคดีผู้คนในพื้นที่ปลายด้ามขวานที่มีการแสดงออกทางการเมืองผ่านการจัดกิจกรรมที่ผ่านมา อาทิ การจำลองการลงคะแนนเรียกร้องให้มีการใช้สิทธิการกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง (RSD) ของกลุ่มนักศึกษากลุ่มหนึ่งในพื้นที่ หรือการรวมตัวจัดกิจกรรมที่ซ่อนปนการปลุกระดมความเห็นต่างผ่านการแต่งกายที่อ้างอัตลักษณ์ สอดแทรกการกล่าวคำปฏิญาณของกลุ่มในทำนองรวมตัวกันต่อสู้กับผู้เห็นต่าง รวมทั้งการเรียกร้องที่ซ่อนพรางให้พื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ปกครองพิเศษอันหมิ่นเหม่ต่อการกระทำที่ละเมิดต่อกติกาสูงสุดของรัฐ (รัฐธรรมนูญ) เป็นต้น
หากแต่แท้ที่จริงแล้ว การดำเนินการของ กอ.รมน.ภาค 4 (ส่วนหน้า) ต่อบุคคลที่มีการกระทำอันหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดกฎหมายของรัฐนั้น เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐที่จะละเลยละเว้นไม่ได้ และการฟ้องคดีก็เป็นเพียงการกล่าวหาที่เป็นการให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลอันเป็นกติกาของรัฐในการผดุงความยุติธรรมให้กับประชาชนทุกคนในชาติอย่างเสมอภาค การเรียกร้องและกล่าวอ้างอิงด้วยประการในลักษณะดังกล่าวของกลุ่มเห็นต่างจากรัฐ จึงเป็นการกล่าวอ้างและเรียกร้องตามความคิดของฝ่ายเห็นต่างจากรัฐแต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งรัฐต้องให้ทัศนะที่เป็นความจริงและเหตุผลของการดำเนินการใดๆ ดังกล่าวต่อมวลชนคนเห็นต่างไม่ให้ถูกบิดเบือนจนนำไปสู่ความเกลียดชังและยิ่งถอยห่างจากรัฐมากขึ้น ซึ่งการเห็นพ้องต้องกันบนการรับฟังเหตุผลของกันและกันจะเป็นประตูไปสู่สันติภาพ และรัฐต้องเท่าทันทุกย่างก้าวของการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจอันเป็นประเด็นสำคัญในกระบวนการพูดคุยอย่างกัลยาณมิตรเพื่อสันติสุขอย่างยั่งยืนตามที่มุ่งหวัง