คนไทยส่วนไม่น้อย เชื่อกันว่า การเสริมความเข้มแข็งให้กับพรรคการเมือง เสริมความเข้มแข็งให้เกิดการเมืองแบบสองขั้วพรรคใหญ่ จะทำให้ระบอบประชาธิปไตยไทยเจริญรุ่งเรือง แต่ความเป็นจริงพิสูจน์แล้วมันไม่แน่ การมีพรรคการเมืองเพียงสองขั้วคนอเมริกันมีตัวเลือกเพียงสองทางเลือก คือจะเลือกได้ผู้นำจากพรรคเดโมแครตหรือพรรคริปับลิกันเท่านั้น สำหรับคู่แข่งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐปีนี้จากทั้งสองพรรค เป็นสินค้ามีตำหนิทั้งคู่ และการเลือกตั้งที่อเมริกานั้น ใครจะเชิดชูว่ามันดีเลิศอย่างไร โปร่งใสไม่ทุจริตอย่างไร แต่ก็ใช้เงินกันมหาศาล คือชนะเพราะเงิน ! พลตรี ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านเล่าเรื่องนักการเมืองอเมริกันไว้ว่า “ผมไปเห็นบทความของอเมริกันเข้าเรื่องหนึ่ง กล่าวถึงเรื่องหลักทรัพย์ของนักการเมืองในสหรัฐอเมริกา ในบทความนี้ เขากล่าวว่าผู้ที่มาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในสมัยนี้ หรือแม้แต่ผู้ที่กำลังสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยนี้นั้นเป็นมหาเศรษฐีมีเงินนับล้าน ๆ ขึ้นไปทุกคน คนจนไม่ปรากฏว่ามีเลย…. ประธานาธิบดีเท่านั้นก็กลายเป็นตำแหน่งผู้ที่เป็นมหาเศรษฐีเท่านั้นถึงจะเข้าไปทำได้ เข้าไปรับตำแหน่งได้ เพราะเหตุว่าในการเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้นจะต้องมีรายจ่ายอย่างมากมายมหาศาลเหลือเกิน คนธรรมดาที่ไม่มีเงินล้าน ๆ ไม่สามารถจะทำได้ เพราะไม่มีทุนทรัพย์พอที่จะเข้าไปทำ ทั้ง ๆ ที่พรรคเข้าช่วยในทางการเงินอยู่แล้ว แต่ก็ต้องควักกระเป๋าส่วนตัวอีกเหมือนกัน จะเข้าไปเฉย ๆ นั้นไม่ได้แน่ ถ้าพูดกันแล้ว ตำแหน่งประธานาธิบดีในอเมริกานั้นก็เปลี่ยนไปกว่าแต่ก่อนเสียแล้ว... แต่ก่อนสมัยประธานาธิบดีลินคอล์นนั้น ปรากฏว่าท่านผู้นั้นไม่ใช่คนมั่งมีอะไรเลย เป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีฐานะดีนัก แต่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี แต่สมัยนี้คนที่ไม่ได้เป็นเศรษฐีมีเงินหลายล้านนั้นเกือบจะเรียกได้ว่าไม่มีหวังเลยทีเดียว เพราะเหตุว่าจะไม่มีทุนรอนพอที่จะมาใช้ในการเลือกตั้ง และเมื่อเป็นประธานาธิบดีแล้วก็จะไม่มีเงินทองพอที่จะมารักษาเกียรติรักษาฐานะแห่งประธานาธิบดีของอเมริกาไว้ได้ด้วย จะต้องเป็นคนที่เป็นมหาเศรษฐีเท่านั้น นอกจากประธานาธิบดีแล้วแม้แต่นักการเมืองอเมริกาอยู่ในสภาสูง คือสภาเซเนตและสภาผู้แทนราษฎรก็เศรษฐีทั้งนั้นอีกแหละครับ สำหรับสภาเซเนตคือสภาสูงซึ่งมีสมาชิก 100 คนนั้น เดี๋ยวนี้ที่สหรัฐอเมริกาเขาเริ่มจะเรียกกันว่าสโมสรเศรษฐี” อเมริกันชนเลือกตั้งเลือกตั้งกันให้ตายไปอีกกี่ชาติ ก็จะได้ “ช้าง” หรือไม่ก็ “ลา” มาปกครองพวกเขา และก็อย่าหวังว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงนโยบาย “จ้าวโลก” ของอเมริกา ดูอย่างคราว บารัก โอบามา ที่โฆษณาตัวเองว่า จะ change หลอกคนอเมริกันได้สำเร็จ และได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันทำอะไรมีผลงาน ปรากฏว่าบทสรุปแปดปีของบารัก โอบามา สงครามก็ยังขยายตัวและรุนแรงหนักขึ้นด้วย อเมริกาอย่ามาสอนประชาธิปไตยชาวโลกเลย เพราะเข้าไปเสือกในประเทศไหนเมื่อใด ประเทศนั้นวุ่นวายจนกลายเป็นสงครามมาตลอด