ทองแถม นาถจำนง
หากถามว่าฝรั่งในสังคมตะวันตกกลัวอะไรมากที่สุด? ข้าพเจ้าขอตอบว่ากลัวตาย! แล้วคนไทยไม่กลัวตายหรือ? ก็ตอบได้อีกว่า....กลัวเหมือนกัน แต่โดยภาพรวมแล้วคนไทยและคนตะวันออกกลัวตายน้อยกว่าคนฝรั่ง
เนื่องจากระบบความคิดของคนตะวันออกคุ้นชินกับหลักสัจธรรมเรื่องอนิจจัง คือความไม่เที่ยง ทุกคนต้องถึงความตาย ผู้ที่รับรู้สัจธรรมเรื่องนี้จึงไม่ดิ้นรนหนีความตายไม่กลัวเกรงเมื่อถึงกาลเวลาจะตายแต่ทั้งนี้ คนตะวันออกและคนไทยที่ไม่ยอมรับสัจธรรมนี้ก็มีอยู่ ไม่น้อยนะครับ ซึ่งเขาก็จะต้องรับทุกข์จากความกลัวนั้น เป็นทุกข์ใหญ่เสียยิ่งกว่า "การตาย" จริงๆ เสียอีก
บทความ "สยามรัฐหน้า 5"ฉบับวันที่ 28 เมษายน 2514 อาจารย์หม่อมเขียนเล่าถึงคำสัมภาษณ์ของอาร์ชบิชอป แห่งแคนเตอร์เบอรี่ ที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ออบเซอร์เวอร์ ฉบับวันที่ 18 เมษายน 2514 ตำแหน่งอาร์ชบิชอปแห่งแคนเตอร์เบอรี่นั้น เป็นตำแหน่งเทียบเท่าสกลสังฆปรินายกแห่งประเทศอังกฤษ เทียบได้กับสมเด็จพระสังฆราชของประเทศไทย
ข้าพเจ้าขอตัดตอนมาเฉพาะเรื่องของ "ทุกข์" อาจารย์หม่อมเขียนไว้ดังนี้ครับ
"ผู้สัมภาษณ์ถามว่า ท่านนึกอย่างไร เมื่อมีผู้กล่าวว่า ถ้าหากว่ามีพระเจ้าจริงแล้ว ความทุกข์ในโลกนี้ก็ไม่น่าจะมีมากมายถึงเพียงนี้
สมเด็จเจ้า (หมายเหตุ : หมายถึงอาร์ชบิชอปแห่งแคนเตอร์เบอรี่ครับ..............ทองแถม) ตอบว่าความทุกข์ในโลกนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากความผิดของมนุษย์เป็นความผิดของเราเอง แต่ก็ยังมีความทุกข์อีกส่วนหนึ่งที่ชวนให้สงสัยที่สุด
เกี่ยวกับความทุกข์เช่นนั้น อาตมายังหาทางอธิบายเหตุในทางปัญญาหรือในทางทฤษฎีไม่ได้
ผมลองนึกดูถ้าเผื่อมีใครมาถามผมเช่นนั้น ในฐานะที่ผมเป็นพุทธมามกะคนหนึ่ง ไม่ต้องถึงขนาดสกลสังฆปรินายกเมืองไทยละผมจะตอบกับเขาว่าอย่างไร
ต่อไปนี้เป็นคำตอบของผม
1.ชีวิตทุกอย่างในโลกนี้เกิดโดยเหตุบังเอิญจริงตามที่วิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ เมื่อสสารต่างๆ ในโลกมารวมกันเข้าโดยบังเอิญ และตกอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมเช่นอากาศร้อนเย็นและความชื้นความแห้งโดยบังเอิญ ชีวิต ก็เกิดขึ้นชีวิตเช่นนี้เป็นอัพยากฤต ไม่ดี ไม่ชั่วไม่ทุกข์ ไม่สุข เมื่อเกิดแล้วก็ต้องหาสิ่งแวดล้อมให้เข้ากับชีวิต มิฉะนั้นก็จะอยู่ไม่ได้ เกิดในสิ่งแวดล้อมใดก็ต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้นต้องกินอาหารเลี้ยงกาย และต้องขับถ่ายออกมา เมื่อเกิดแล้ว ก็ต้องมีแก่ มีเจ็บ และมีตาย แตกสลายไปในที่สุด
2.คุณค่าต่างๆ ที่ถือกันอยู่ว่าอะไรดีอะไรชั่ว และอะไรน่ารักอะไรน่าชังนั้น เกิดจากวิวัฒนาการของชีวิต จริงๆ เมื่อชีวิตเกิดขึ้นแล้วชีวิตก็ต้องแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่หมาะสมเพื่อดำรงชีวิตให้คงอยู่ การดิ้นรนแสวงหานั้น ทำให้เกิดสิ่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า จิต จิตนั้นเริ่มรับรู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดีสำหรับชีวิต บังคับให้กายเข้าหาสิ่งซึ่งมีประโยชน์ต่อชีวิตและให้หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ต่อชีวิตเมื่อต้องห่างจากสิ่งที่ชีวิตต้องการ ก็เกิดทุกข์ (ปิเยหิ วิปฺฌยโคทุกฺโข) หรือเมื่อต้องอยู่คลุกเคล้ากับสิ่งที่ชีวิตไม่ต้องการก็เป็นทุกข์(อปฺปิเยหิ สม์ปโยโค ทุกฺโข)
3.ในวิวัฒนาการแห่งชีวิตจนถึงขั้นที่จิตเกิดขึ้นนี้ จิตก็เริ่มต้นด้วยความไม่รู้เหตุ คืออวิชชา ไม่รู้ว่าตนเกิดมาโดยเหตุบังเอิญแท้ๆแต่กลับนึกว่าตน นั้นมีตนเป็นของตนเกิดมาเพื่อเสริมตนให้ยิ่งใหญ่ต่อไปและเมื่อนึกเช่นนั้นแล้วก็นึกเตลิดต่อไปว่าตนนั้นมีชาติ มีภพ และชาติภพนั้นเที่ยง เมื่อประสบกับความไม่เที่ยงของธรรมชาติ เข้า ชีวิตนั้นก็เป็นทุกข์ ความไม่รู้เหตุที่แท้จริงความยึดในตน ความกระหายในชาติภพ และความเข้าใจว่าชาติภพ นั้นเที่ยง เป็นเหตุแห่งทุกข์ นอกจากนั้นมนุษย์ยังนึกว่าชีวิตตนนั้นเป็นไปตามแผน มีตนเป็นผู้กำหนดแผนนั้นเมื่อการณ์ไม่เป็นไปตามแผนนั้น ก็เกิดทุกข์อย่างยิ่ง
4.คุณค่าต่างๆ ตลอดจนอุดมการณ์ ของมนุษย์เกี่ยวกับสังคมนั้นเกิดจากความดิ้นรนของมนุษย์ที่จะทำให้พ้นทุกข์หรือหลีกเลี่ยงจากทุกข์เพราะฉะนั้นศีลธรรมที่มนุษย์ทำให้เกิดขึ้น ตลอดจนอุดมการณ์ต่างๆ ที่มนุษย์คิดขึ้นเพื่อสังคมนั้นจึงได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง จะแก้ได้ก็เพียงทุกข์ที่เกิดจากการกระทำผิดของมนุษย์เอง แต่ทุกข์ที่เกิดจากความไม่รู้ จากความหลงผิด เข้าใจผิด และยึดในสิ่งที่ไม่มีตัวของตัวเองนั้น คุณค่าและอุดมการณ์ ที่มนุษย์กำหนดขึ้นเองไม่สามารถจะแก้ได้สมเด็จเจ้าเมืองอังกฤษก็อธิบายไม่ได้
5.พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในทุกข์ในเหตุแห่งทุกข์ ในความสิ้นทุกข์และในทางที่จะถึงซึ่งความสิ้นทุกข์ตลอดจนได้ตรัสรู้และประกาศสั่งสอนสัจธรรม ทั้งทางโลกและทางธรรมเมื่อ 2,500 กว่าปีมาแล้ว ทรงอธิบายทุกข์ทั้งปวงได้ด้วยพระปัญญาและในทางทฤษฎี
6.คุณสมบัติของพระอรหันต์นั้นมิได้เกิดขึ้นได้จากการสร้างสรรค์หรือการทำให้เกิด แต่มีมาเองจากการทำให้ดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือปัญญา รู้แจ้งในทุกข์ ในเหตุแห่งทุกข์ในความสิ้นทุกข์ และในทางที่จะทำให้สิ้นทุกข์
ใครจะเห็นว่าผมเก่งกว่าสมเด็จเจ้าเมืองอังกฤษ ก็ตามทีเถิด
แต่ถ้าถามว่าทำไมจึงเก่งอย่างนี้
ผมก็ขอตอบว่า
ผมมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะไม่มีสิ่งอื่นใดเข้ามาเจือปนเลย
และถ้าจะถามว่า ทำอย่างไรจึงจะเก่งกว่าสมเด็จเจ้าเมืองอังกฤษได้บ้าง
ผมก็ขอตอบว่าเข้าวัดเถิด อย่ามัวรีรออยู่เลยหลวงตาที่ไหนท่านก็สอนธรรมเหล่านี้ให้ได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นสมเด็จเจ้าหรือเป็นเพียงหลวงตาท่านก็เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าด้วยกัน"