ทวี สุรฤทธิกุล
นาคีมีพิษเพี้ยง สุริโย
เลื้อยบ่ทำเดโช แช่มช้า
พิษน้อยหยิ่งโยโส แมลงป่อง
ชูแต่หางเองอ้า อวดอ้างฤทธีฯ
แต่แรกยับยั้งชั่งใจว่าจะเขียนวิจารณ์เรื่องกระบวนการยุติธรรมและองค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการพวกนี้ดีไหม เพราะกลัวท่าน ๆ เหล่านี้เหลือเกิน เพียงแค่ไปสะกิดอะไรนิดหน่อย ก็อาจจะเจอข้อหาละเมิดหรือหมิ่นศาล หรือแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ซึ่งโทษนั้นอุทธรณ์ฎีกาอะไรไม่ได้ ต้องติดคุกสถานเดียว!
แต่พอดีมีปรมาจารย์บางท่านเคยแนะแนวให้ว่า ก็อย่าไปวิจารณ์ท่านตรง ๆ ให้อ้อม ๆ เฉียง ๆ เลี่ยง ๆ เฉียด ๆ หรือใช้ “สแตนด์อิน” คือ “ตัวแสดงแทน” เสียก็ได้
วันนี้จะใช้ตัวแสดงแทนคือรัฐสภากับสมาชิกรัฐสภา ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ทั้งที่ รัฐสภาและสมาชิกรัฐสภาเหล่านี้ก็เป็นเป็น ๑ ใน ๓ ของอำนาจอธิปไตย คือเป็นใหญ่อยู่ในอำนาจนิติบัญญัติ แต่ทำไมจึงมีคนกระทำปู้ยี่ปู้ยำจะวิจารณ์เหลวแหลกยังไงก็ได้ เช่นเดียวกันกับรัฐบาลและคณะรัฐมนตรี ที่อยู่ในอำนาจอธิปไตยด้านการบริหาร ก็ถูกด่าจนเละเทะเสียคนไปทั้งวงศ์ตระกูล แต่ท่านตุลาการทั้งหลายนั้นเป็น “สนิมสร้อย” หมองนิดหมองหน่อยก็แตะต้องไม่ได้
โคลงข้างต้นนำมาประกอบสาระของบทความ ในแนวที่ว่าความยุติธรรมนั้นต้องช้า ๆ เพื่อแสดงว่าตัวข้าฯนั้นมีฤทธิ์เดชเอามาก ๆ ทำนอง “นาคีเลื้อยบ่ทำเดโชแช่มช้า”
เนื่องจากในทุกวันนี้ทุกอย่างมันดูล่าช้าไปหมด ประกาศผลเลือกตั้งก็ช้า ตั้งรัฐบาลก็ช้าเพราะยังโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีไม่ได้ ศาลรัฐธรรมนูญท่านก็ “คิดช้า ๆ” เลื่อนการพิจารณากรณีเสนอชื่อคุณพิธาซ้ำออกไปอีก ๑๐ กว่าวัน อ้างว่ามีรายละเอียดที่จะต้องพิจารณาเยอะ รวมถึงข้อพิจารณาที่อาจจะมีผลกระทบต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
กกต.นั้นถูกตำหนิมาโดยตลอด ตั้งแต่การจัดการเลือกตั้งที่มีเรื่องพิกล ๆ หลายเรื่อง พอประกาศผลก็ยิ่งพิกลไปอีก เพราะดึงไปดึงมาเป็นเดือน ๆ กว่าจะประกาศได้ แต่ประกาศแล้วก็พบว่า ส.ส.บางคนก็หลุดรอดการตรวจคุณสมบัติมาได้ เหมือน กกต.ไม่ได้ทำหน้าที่ หรือทำแต่ก็ “ไม่ดี” ต้องมาฟ้องร้องตรวจสอบคุณสมบัติกันอีก รวมถึงที่มีหลายคนที่เคยติดคุกติดตารางแต่ก็ กกต.ก็ไม่รู้ไม่เห็น ปล่อยให้เป็น ส.ส.แล้วต้องมาเลือกตั้งซ่อมให้เปลืองเงินและเสียเวลาอีก
ที่ท่านบอกว่าต้องช้าเพื่อความรอบคอบนั้น ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นคำแก้ตัวที่ฉลาด นี่ช้าแล้วยังผิดพลาดเสียหายอีก เดี๋ยวก็คงเสนอหน้ากระดำกระด่างออกมาขอความเห็นใจอีกว่า “ขอเวลาอีกหน่อย”
ล่าสุดคือกรณีศาลรัฐธรรมนูญ ที่ท่านทำเรื่องที่ชาวบ้านเชื่อว่าน่าจะง่ายให้เป็นเรื่องยาก เพราะแค่พิจารณาว่าจะรับคำร้อง ที่มีผู้ร้องมาเรื่องการโหวตซ้ำชื่อคุณพิธาให้เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ก็ยังพิจารณารับหรือไม่รับไม่ได้ ต้องเลื่อนไปเป็นวันที่ 16 สิงหาคมโน่น
นี่ถ้าตกลงในวันที่ 3 ไปเลยว่ารับหรือไม่รับ ก็จะไม่มีคน “ยี้” หรือสับสนสงสัยการทำหน้าที่ขององค์กรทางการเมืององค์กรนี้ กูรูบางท่านบอกว่าเห็นใจตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านด้วยเถิด เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ บางทีความรู้ที่ร่ำเรียนมาก็มีไม่ถึง หรือไม่เคยมีในตำราเรียน ที่สำคัญเป็นเรื่องระบบงานของรัฐสภา ท่านตุลาการท่านไม่เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา ก็เลยไม่เข้าใจและตัดสินใจไม่ถูก ขอเวลาให้ท่าน “ตังหลัก” สักแป็บ
ผู้เขียนได้คุยกับนักกฎหมายที่เป็นเพื่อนอาจารย์ด้วยกันคนหนึ่ง ท่านให้แง่คิดที่น่าสนใจ และเป็นผู้ที่ยกโคลงที่ยกมาในตอนต้นของบทความนี้มาอ่านให้ผู้เขียนฟัง
นักกฎหมายท่านนี้ท่านคงเป็นนักนิรุกติศาสตร์และสังคมวิทยาร่วมด้วย คือสามารถเชื่อมโยงเรื่องของความเชื่อความคิดต่าง ๆ ของมนุษย์เข้ากับการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมของผู้คน
ท่านไล่เลียงว่าในยุคหินมนุษย์นั้นยังไม่รู้จัก “อำนาจ” รู้จักแต่ว่าใครที่มี “กำลัง” มากกว่าคือคนที่จะควบคุมคนอื่นได้ เช่น เอากำลังไปลากผู้หญิงมาเป็นภรรยา เป็นต้น พอถึงยุคประวัติศาสตร์ที่มนุษย์มีการติดต่อค้าขายกัน ก็พบว่าใครมี “ผู้คน” หรือ “กองทัพ”มากกว่าก็จะควบคุมผู้อื่นไปได้ทั่วโลก เช่นเดียวกันกับที่มีความสามารถในการทำให้คนอื่นเชื่อฟังและยอมตามได้ นั่นคือ “อำนาจ” ในยุคโบราณ
ส่วนอำนาจในสังคมสมัยใหม่ก็มีวิวัฒนาการไปตามสภาพสังคมของแต่ละประเทศ รวมถึงเมื่อสังคมนานาชาติได้ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน แนวคิดเรื่องอำนาจก็มีการศึกษากันอย่างละเอียด จนกลายเป็นวิชาการที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือวิชารัฐศาสตร์ ซึ่งมีการศึกษาทั้งในระดับครอบครัว และในสังคมสัตว์อื่น ๆ
ท่านบอกว่าแม้ในสังคมทั่วไปผู้ชายจะเป็นใหญ่หรือมี “อำนาจ” มากกว่าผู้หญิง แต่เอาเข้าจริง ๆ ผู้หญิงนั้นก็มี “อำนาจแฝง” ที่เหนือกว่าผู้ชายอยู่เสมอ เรียกว่าเป็นอำนาจที่เกิดจาก “การวิงวอน” เหมือนอย่างที่มนุษย์นั้นชอบวิงวอนขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ
สิ่งที่ผู้หญิงมีไว้แสดงอำนาจนี้ก็คือ “การเล่นตัว” เพื่อให้ผู้ชายลุ่มหลงและง้องอน ซึ่งผู้ชายจะต้องเจอสภาพเช่นนี้มากในตอนที่ยังไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน เช่น ผู้ชายต้องอดทนในการตามไปรับไปส่ง การตื้อเอาใจ และการงอนง้อขอโทษต่าง ๆ หรือส่วนมากผู้ชายก็ต้องให้เวลาและทำใจถ้าผู้หญิงจะทำอะไรล่าช้า เช่น ลงมาช้า แต่งตัวนาน หรือเดินดูข้าวของนาน ๆ ฯลฯ
กูรูท่านนี้ยังบอกด้วยอีกว่า เช่นเดียวกันกับสัตว์ที่มีอำนาจมาก มักจะไม่วอกแวกลุกลนหรือทำอะไรเร่งรีบ จะทำอะไรช้า ๆ อย่างพญานาคราชในโคลงโบราณดังกล่าว
แล้วท่านก็สรุปว่า สัตว์ที่มีอำนาจมาก ๆ ผู้หญิงถ้าอยากจะให้รู้ว่ามีอำนาจมาก ๆ ต้องเล่นตัว ทำอะไรก็ให้ช้า ๆ เข้าไว้ ถ้าถึงขั้นที่ให้คนงอนง้อด้วยก็ยิ่งดี และนั่นจะทำให้ท่านเป็นเทพเจ้า
ผู้ทำได้เยี่ยงนี้จึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีอำนาจ ทั้งอำนาจในบ้าน และอำนาจในสังคม!
สำหรับคนที่ไม่เข้าใจในความล่าช้าทั้งหลาย เหตุผลแปลก ๆ แบบนี้ก็ดูจะทำให้พอเข้าใจได้เหมือนกัน