การเมืองไทยเปลี่ยนแปลง แปรผันไปทุกชั่วโมง  ทำให้ทุกฝ่ายทุกขั้วอำนาจต่างต้อง ตั้งหลัก และตั้งรับกันให้ดี !


 19 ก.ค.66 กลายเป็นอีกหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นกับ พรรคก้าวไกล และ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากฉันทามติของ 8 พรรคร่วมรัฐบาล   เพราะเหตุการณ์เมื่อวานนี้ ดูจะกลายเป็นภาพที่ ซ้ำรอย ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในระหว่างการประชุมรัฐสภาเมื่อปี 2562 


 เมื่อ ปี2562 ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขณะนั้นเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก็เคยถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส. เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องกรณีการถือครองหุ้นสื่อ บริษัทวีลัค มีเดียส์ ซึ่งธนาธร ต้องเดินออกจากห้องประชุมรัฐสภา ออกไป เหมือนกับเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา พิธา ได้ลุกขึ้นแจ้งต่อประธานรัฐสภา ขอน้อมรับคำวินิจฉัย และหยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส.จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยออกมา 


 ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ ธนาธร อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กับ พิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่แม้ห้วงเวลาจะห่างกันมาแล้ว4ปี  


 อย่างไรก็ดี ปัญหาและข้ออุปสรรคที่เกิดขึ้นกับ พิธา และพรรคก้าวไกล ย่อมไม่ได้ทำให้ การเดินหน้าตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ของอีก 7 พรรคที่ยังอยู่ต้องชะงักลงไปด้วย ดังนั้นเวลานี้ ทุกสายตาจึงโฟกัสไปที่พรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคอันดับสอง จะถึงเวลา ขยับ ขึ้นมาถือธงนำได้แล้วหรือไม่ ? 


 พรรคเพื่อไทย กำลังถูกมองว่าจะด้วยความจำเป็น หรือการเข้ามาผลักดันภารกิจ พาทักษิณกลับบ้าน ตามที่ฝั่งตรงข้าม เคยตั้งข้อสังเกตมาโดยตลอดหรือไม่ก็ตาม แต่การพาตัวเอง ขึ้นมานำทัพของพรรคเพื่อไทย อาจกลายเป็นความจำเป็นในทางการเมือง 


 ที่ทั้ง 8พรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งวันนี้เหลือ 311 เสียง หลังพิธา หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว นั้นทางหนึ่งเพื่อ สกัด ขั้วการเมืองฝ่ายเสียงข้างน้อย จะตั้งรัฐบาลแข่งหรือไม่  และแน่นอนว่า อาจจะไม่ใช่รัฐบาลเสียงข้างน้อยตามที่ประเมินกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ 


 ทว่าขณะเดียวกันการที่พรรคเพื่อไทย ต้องขยับออกหน้ามารับไม้ต่อจากพิธา ย่อมหนีไม่พ้นความหวาดระแวง ว่าพรรคเพื่อไทย จะเป็น จุดหักเลี้ยวที่ทำนำไปสู่ สูตรจัดตั้งรัฐบาลใหม่ตามมาหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่าเมื่อพรรคก้าวไกล กำลังติดหล่ม ปรากฏว่า พรรคการเมืองในขั้วรัฐบาลรักษาการ ต่างพากันคึกคักกลายเป็นหุ้นการเมืองที่ดีดตัวขึ้นสูง !