ยูร กมลเสรีรัตน์
กลับเมืองหลวง
3.มือทองช่อง 4 บางขุนพรหม
วันแรกที่เผยแพร่ออกอากาศนั้น อาจินต์ ปัญจพรรค์เป็นคนออกแบบสไลด์โฆษณาและเขียนคำอ่านในสไลด์โฆษณาด้วย ช่วงที่ทำงานที่บริษัทไทยโทรทัศน์ จำกัด เขาได้เล่าไว้ในเรื่องชุด ยักษ์ปากเหลี่ยม ทุกแง่มุม จนกระทั่งอำลา....
อย่างในคืนแรกที่มีการเผยแพร่ภาพทางโทรทัศน์ของเมืองไทย สถาบัน RCA ของสหรัฐอเมริกา รับเป็นสปอนเซอร์ให้ ทั้งนี้ก็เพื่อการโฆษณาเครื่องส่งทีวีและเครื่องรับทีวี ดังที่เขาบอกเล่าไว้ในหนังสือ “นักเลงเรื่องสั้น”
“ผมออกแบบเป็นลูกโลกที่ถูกเจาะตรงกลางเป็นบานหน้าต่างสองบานเปิดกว้าง มองเข้าไปที่จุดศูนย์กลางของโลก มีตึกรามบ้านช่อง เห็นเสาชิงช้า พระปรางค์วัดอรุณฯ และตึกระฟ้า หอคอยไอเฟล ทาวเวอร์ออฟลอนดอน ประตูวัดที่ญี่ปุ่น ทั้งหมดเล็กยิบ ๆ ป้ายสีดำให้เห็นได้ชัดแทนท้องฟ้าในกรอบหน้าต่างนั้น”
ไม่เพียงแต่อาจินต์ ปัญจพรรค์เขียนบทโทรทัศน์เท่านั้น เขายังต้องทำแผนผังประจำคืนตามคำสั่งของจำนง รังสิกุล หัวหน้าฝ่ายจัดรายการ ถ้ามีงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เขาจะต้องโรเนียวออกมาโดยใช้ทั้งมือหมุนและกดสวิทซ์ให้หมุนเร็วขึ้น เขาฝึกหมุนโรเนียวครั้งแรกตอนที่ทำแผนผังรายการประจำคืน
นอกเหนือจากอื่น ๆ ที่กล่าวข้างต้น อาจินต์ ปัญจพรรค์ยังมีงานพิเศษอีกอย่างคือ ทำหน้าที่ต้อนรับบุคคล ห้างร้านที่มาติดต่อขอซื้อเวลาทางทีวี โดยเขาเป็นผู้เขียนหนังสือสัญญาด้วยตัวเอง เพราะในขณะนั้นยังไม่ได้จ้างเจ้าหน้าที่ประจำฝ่ายโฆษณา
แม้อาจินต์ ปัญจพรรค์มีตำแหน่งเป็นผู้เขียนบทโทรทัศน์ประจำสถานี แต่เขาไม่มีโต๊ะทำงาน ถึงอย่างไรการทำงานที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 4 ก็มีศักดิ์ศรีกว่าตอนที่เป็นกรรมกรเหมืองแร่อย่างเทียบกันไม่ได้ โอกาสที่จะมาอยู่จุดนี้ไม่ใช่จะหาได้ง่าย เขาจึงหาทางออกโดยการใช้โต๊ะอาหารของข้าราชการกรมประชาสัมพันธ์เป็นโต๊ะทำงาน นั่นก็คือ...
“...ผมเห็นโต๊ะว่าง ก็ไปนั่ง พวกข้าราชการใช้ห้องน้ำพากันสั่งอาหาร เครื่องดื่ม จากเด็กที่มาเดินถาม แล้วอาหารนั้นก็ใส่ถาดมาวางไว้ที่โต๊ะนี้”
ดังนั้น หากจะใช้โต๊ะอาหารของข้าราชการกรมประชาสัมพันธ์เป็นโต๊ะทำงาน อาจินต์ ปัญจพรรค์จะต้องรีบออกไปกินข้าวข้างนอก แล้วรีบกลับมาก่อนบ่าย เมื่อดูนาฬิกา จนแน่ใจว่าข้าราชการกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เมื่อนักเขียนบทประจำสถานีช่อง 4 กลับเข้าไปในกรมฯ เห็นโต๊ะอาหารว่างแล้ว ก็จะเข้าไปเก็บถ้วยชามวางไว้บนพื้นและเช็ดถูโต๊ะจนสะอาด แล้วนั่งลงทำงาน ไม่ได้คิดน้อยเนื้อต่ำใจหรือปริปากบ่นแต่อย่างใด เหตุที่เขายังไม่มีโต๊ะทำงาน เพราะเขาเข้าทำงาน ทั้งที่สถานีช่อง 4 ยังไม่ได้ขออัตรากำลัง จึงยังไม่มีโต๊ะทำงานให้
รองหัวหน้าฝ่ายจัดรายการของสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 ชื่อสมจิตร สิทธิไชย เห็นเขาไม่มีโต๊ะทำงาน จึงให้ความเอื้อเฟื้อ โดยให้เขาไปนั่งที่โต๊ะทำงานของเธอ โดยนั่งคนละด้าน
วันต่อ ๆ มา เมื่องานของอาจินต์ ปัญจพรรค์มีมากขึ้น ข้าราชการที่กินข้าวที่โต๊ะอาหาร ให้ความเห็นใจ พากันออกไปกินมื้อเที่ยวที่โรงอาหาร ให้เขาและคนอื่น ๆ เข้ามาทำงานที่โต๊ะนี้อย่างสะดวกสบาย
การที่ได้ไปนั่งที่โต๊ะทำงานของรองหัวหน้าฝ่ายจัดรายการ-สมจิตร สิทธิไชย กลับเกิดผลดีกับอาจินต์ ปัญจพรรค์ตามมา เพราะเธอได้สอนเขาให้แต่งบทละครวิทยุประจำเรื่องแรกของเมืองไทยให้บริษัทคอลเกตและปาล์มโอลีฟ
เรื่องนี้ต้องบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ของวงการโฆษณาว่า อาจินต์ ปัญจพรรค์เป็นคนแรกในประเทศไทยที่เขียนคำโฆษณา
นอกจากนี้สมจิตร สิทธิไชย ยังหางานโฆษณาสินค้าให้เขา โดยให้เขาเขียนคำโฆษณาและคิดสโลแกนสินค้าชั้นนำของเมืองไทย โดยที่เป็นผู้แนะแนวทางให้กับเขา จากนั้นเขาก็นำไปคิดและเขียนเป็นละครให้แสดงทุกวัน ๆ ละ 30 นาที
เมื่ออาจินต์ ปัญจพรรค์เขียนบทจุกจิกจนคล่องแล้ว เขาก็ได้เขียนบทละครวิทยุเรื่อง “หนี้ชีวิต” ให้เย็นจิตต์ ระพีพัฒน์(เย็นจิตต์ สัมมาพันธ์) ซึ่งเป็นผู้ประกาศข่าวคนแรกของสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม เป็นนางเอก ใช้สรรพนามแทนตัวว่า “ดิฉัน”เป็นผู้เล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ ต้องหนีออกจากบ้านไปเรียนพิมพ์ดีด ต่อมา ไปสมัครเป็นผู้ดูแลเด็ก ๆ ที่ภาคใต้ แล้วมีตัวละครเข้ามาเสริม มีบทสนทนาโต้ตอบกัน
ในระหว่างพักการแสดงละครวิทยุ จะต้องมีโฆษณาแทรกให้แม่บ้านจดจำสินค้าให้ได้ อาจินต์ ปัญจพรรค์จึงแสดงฝีมือในการเขียนคำโฆษณาออกมาว่า....
“คุณเป็นอีกคนหนึ่งใช่ไหมที่ไม่สามารถแปรงฟันหลังอาหารได้ทุกมื้อ ถ้าเป็นเช่นนั้น ขอแนะนำให้ใช้คอลเกต”
อาจินต์ ปัญจพรรค์เปิดเผยอย่างไม่ปิดบังว่า คำโฆษณานี้จะว่าคิดเองก็ไม่ถูกต้องทั้งหมด เป็นข้อความที่แปลแบบถอดความมาจากภาษาอังกฤษ แม้จะไม่ตรงเป๊ะทีเดียวก็ตาม แล้วคิดออกมาเป็นภาษาไทยให้สะดุดหู
คำโฆษณาที่เขาเขียนขึ้นมานี้ คนที่บันทึกเสียงเ ในเวลาต่อมา กลายเป็นโฆษกที่มีชื่อเสียงดังก้องของวงการโทรทัศน์ในเมืองไทย นั่นก็คือ อาคม มกรานนท์ และถือว่าเป็นการอัดเสียงโฆษณาเป็นชิ้นแรก ด้วยรายได้ที่สูงมากในเวลานั้น
คำโฆษณาของอาจินต์ ปัญจพรรค์ที่สะดุดหูและติดปากคนไทย คำศัพท์สมัยนี้เรียกว่า “สโลแกน” ตัวอย่างได้แก่...
“จะทาสีต้องมีศิลป์”
“บ้านไหนไม่ทาสี เหมือนสตรีไม่ทาปาก”
“แอ็คชั่น เผด็จรังแค ดูแลทรงผม”
ปี 2500 อาจินต์ ปัญจพรรค์ทำหน้าที่หัวหน้าแผนกแผนผังและคำประกาศ เจ้าหน้าที่เซ็นเซอร์และเกลาคำโฆษณาของห้างร้านที่เป็นสปอนเซอร์ จำนง รังสิกุลมีดำริให้ตั้งคณะละครโทรทัศน์ “สุภาพบุรุษ”เพื่อให้สถานีมีคณะละครเป็นของตัวเอง
อาจินต์ ปัญจพรรค์ทำงานที่บริษัทไทยโทรทัศน์ได้ 4 ปี ด้วยความทุ่มเทในการทำงานของเขาทั้งกลางวันและกลางคืน ในปี 2502 เขาได้รับคัดเลือกให้ไปดูงานวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ที่สหรัฐอเมริกาและชีวิตชาวอเมริกันเป็นเวลา 4 เดือน
ประมาณปี 2511 จำนง รังสิกุล มีความเห็นแย้งกับกรมโฆษณาการ จึงขอถอนตัวจากบริษัทไทยโทรทัศน์ฯ กลับไปนั่งที่กรมฯ ในภายหลังอาจินต์ ปัญจพรรค์ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกแผนผังรายการและหัวหน้าแผนกบริการธุรกิจและบรรณาธิการไทยโทรทัศน์ รายเดือน จึงลาออกมาทำงานเขียนอย่างเต็มตัว
นับตั้งแต่ปี 2497 ถึง ปี 2514 ช่วงเวลา 14 ที่อาจินต์ ปัญจพรรค์ทำงานที่บริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด จากการส่งเสริมและชี้แนะของจำนง รังสิกุลและจากการเรียนรู้ด้วยตนเองด้วยความทุ่มเทชีวิตให้กับงาน หล่อหลอมให้เขาอัดแน่นด้วยประสบการณ์อันมากมาย....
“14 ปีแห่งความสุข 14 ปีแห่งการทำงานหนักท่ามกลางเสียงดนตรี และการซ้อมละครยของหนุ่มหล่อสาวสวย โฆษกเสียงทองนับไม่ถ้วน ท่ามกลางแสงไฟนับพันแรงเทียน เป็น 14 ปีที่ไม่มีวันหยุด เพราะวันหยุดของชาวบ้าน คือวันทำงานหนักของเรา...”
"งานของนักเขียนคือ เขียนออกมาด้วยความรู้สึกนึกคิด ด้วยความรู้จริง ด้วยสำนวนที่มีคุณค่า ไม่ใช่เขียน ๆ ลงไปให้มันยาว”(อาจินต์ ปัญจพรรค์)