ความชุลมุนที่เกิดขึ้นตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา  หลังการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 14 พ.ค.66 เป็นต้นมา นอกจากจะไม่มีใครบอกได้ว่า บทสรุป จะอยู่ที่ตรงไหนแล้ว มิหนำซ้ำยังกลายเป็นว่า ปัญหาใหม่ ยังผุดขึ้นมาซ้ำเติม ระลอกแล้ว ระลอกแล้ว ! 

 พรรคก้าวไกล ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล รวบรวมเสียงข้างมากเอาไว้ในมือได้ 312เสียง แต่จนถึงวันนี้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ยังคงเคลื่อนไหว แสดงบทบาท ผู้นำ ในปีก 8พรรคร่วมรัฐบาล โดยที่ยังไม่รู้ว่า ตนเองจะ ฝ่าด่าน ทั้งคดีที่ถูกร้องให้ตรวจสอบคุณสมบัติการเป็นส.ส. กรณีถือหุ้นไอทีวี ก่อนที่ล่าสุดจะออกมาระบุว่า ได้โอนให้ทายาทไปแล้ว

 ขณะที่ ด่านส.ว. ยิ่งน่าเป็นห่วงหนัก มากกว่าด่านไหนๆ เพราะด่านนี้ คือจุดที่จะชี้ว่า ทำอย่างไรพรรคก้าวไกล และชื่อพิธา ก็อาจไม่สามารถหาเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.ได้ครบถึง 376 เสียง เมื่อวันโหวตเลือกนายกฯคนที่ 30 มาถึง 

 และยิ่งเมื่อปมประเด็นกรณีหุ้นไอทีวี ซึ่งคำร้องของ เรืองไกร ลีวัฒนะ  อดีตส.ว. ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาคำร้องเท่านั้น ยังไม่มีการตั้งคณะกรรมการใดๆขึ้นมาไต่สวน แต่กลับมีการโหมกระแสสะพัดไปไกล ถึงขนาดที่ว่า มีข่าวร้ายกับพิธาและพรรคก้าวไกล จนกกต.ต้องออกมารีบแก้ข่าวทันที

 สถานการณ์การเมืองวันนี้ มีเค้าลางที่กำลังบีบให้ เกมถูกดึงออกไปเคลื่อนไหวกันบนท้องถนน มากขึ้นทุกขณะ ! 

 โดยเฉพาะยิ่งพิธา เผชิญหน้ากับมรสุมคดีความหุ้นไอทีวี จนอาจกลายเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เขาไปไม่ถึงเก้าอี้นายกฯคนที่ 30 ทั้งการเจอด่านกกต. และจะไปจบที่ ศาลรัฐธรรมนูญล้วนแล้วแต่ทำให้หนทางของพิธา ยิ่งยาวไกลออกไป แม้จะชนะเลือกตั้งมาเป็นพรรคอันดับหนึ่ง 

 ดังนั้นการเคลื่อนไหวของม็อบในนาม กลุ่ม24มิถุนาประชาธิปไตย ที่พากันไปชุมนุมกดดันคณะกรรมการกกต. ถึงศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อกดดันให้กกต.เร่งประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.พร้อมกับยุติการตรวจสอบคำร้องปมพิธา ถือหุ้นไอทีวี  อาจเป็นเพียง การเริ่มต้นนับหนึ่ง ที่กำลังแสดงให้เห็นว่า กองเชียร์  ของพรรคก้าวไกล ที่พร้อมจะซัพพอร์ต พิธา ให้นั่งนายกฯ นั้นพร้อมที่จะเปลี่ยนมาเล่นเกมนอกสนามทุกเมื่อ แต่อย่าลืมว่าในอีกด้านหนึ่ง อาจสุ่มเสี่ยง ที่จะเข้าสู่ คิลลิ่งโซน ถูกฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลรักษาการใช้กฎหมายเข้าควบคุมอย่างชอบธรรม ตามมา !