ในระหว่างเส้นทางไปสู่รัฐบาลใหม่ ของ 8พรรคการเมือง ที่แม้จะลงนามทำข้อตกลงร่วมกัน เซ็นเอ็มโอยู กันไปหมาดๆเมื่อวันที่ 22 พ.ค.66 ที่ผ่านมา กลับดูเหมือนว่า ในประเด็นเรื่อง สัมพันธภาพ กลายเป็นเงื่อนปมที่ต้องตามลุ้นกันชนิดช็อตต่อช็อต !
ข่าวลือที่สะพัดมาเป็นระยะๆ ชี้ไปในทิศทางที่เป็นลบ สำหรับการเดินหน้าตั้งรัฐบาลใหม่ 313 เสียง คือการที่ พรรคเพื่อไทย ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีทั้งจาก ฝ่ายเดียวกัน ไปจนถึงฝั่งตรงข้าม ว่าพรรคเพื่อไทย ตั้งรัฐบาลแข่ง กับพรรคก้าวไกล
และยังกลายเป็นว่า ในสูตรการตั้งรัฐบาลที่สะพัดเป็นข่าว เขย่าขวัญ สำหรับรัฐบาลเสียงข้างมากยังชี้ว่า พรรคเพื่อไทยอาจมี ทางเลือก มากกว่า พรรคก้าวไกล ที่เป็นพรรคฝ่ายเสรีนิยมประชาธิปไตยอย่างเข้มข้น
ข่าวลือเรื่องการตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคก้าวไกล มีสูตรผสม ที่ผุดชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ของ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรค ร่วมด้วยอีกหลายพรรคในฝ่ายอนุรักษ์นิยม ซึ่งแน่นอนว่า พรรคเพื่อไทย เปิดประตู รับไมตรีจากปีกตรงข้ามมากกว่าพรรคก้าวไกล
เรื่องดังกล่าวลามไปถึงทำเนียบรัฐบาลเพราะ พล.อ.ประวิตร ที่เวลานี้กำลังถูกมองว่านี่คือพรรคตัวแปร หากพรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ ชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯของพรรคก้าวไกล ฝ่าด่านส.ว.ไม่ลุล่วง
สำหรับพรรคเพื่อไทยแล้ว นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค ได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ดูเหมือนว่ายังไม่สามารถ สะกดข่าวลือที่กำลังกดดัน รัฐบาลใหม่ที่ฟอร์มทีม ตั้งรัฐบาล 313 เสียง มิหนำซ้ำยังปรากฏความขัดแย้งคู่ใหม่ ระหว่าง นพ.ชลน่าน กับ น.ต.ศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย หรือแม้แต่การชิงเก้าอี้ ประธานสภาฯ เพื่อสร้างความได้เปรียบในเวทีสภาฯ
เพราะอย่าลืมว่าพรรคก้าวไกล ไม่สามารถบรรจุนโยบายการแก้ไขมาตรา 112 เอาไว้ในเอ็มโอยูได้ เนื่องจากอีก7 พรรคร่วม ไม่เอาด้วย แต่พรรคก้าวไกล ต้องเดินหน้าผลักดันเรื่องนี้ต่อไป โดยอาศัยกลไกทางฝ่ายนิติบัญญัติ เสนอร่างกฎหมายเข้าสภาฯ ในนามของพรรคเอง
จึงทำให้ อดิสร เพียงเกษ แกนนำพรรคเพื่อไทย ออกมาประกาศชัดเจนว่าเมื่อพรรคก้าวไกลได้เก้าอี้นายกฯไปแล้ว ตำแหน่งประธานสภาฯ ก็ต้องเป็นของพรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคอันดับสอง แต่งานนี้ ทั้ง ปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า ออกตัวแรงว่าควรเป็นของพรรคก้าวไกล ในฐานะพรรคอันดับหนึ่ง
สถานการณ์เช่นนี้ ดูจะไม่เป็นผลดีต่อทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลด้วยกันเอง เพราะยังไม่มีความบอกได้ว่า ความขัดแย้ง ครั้งนี้จะบานปลาย นำไปสู่จุดพลิกผัน อย่างใด อย่างหนึ่งตามมาหรือไม่ ?