ยูร กมลเสรีรัตน์
ชีวิตวัยหนุ่ม
2.โทษฐานที่ไม่เข้าห้องสอบ
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงในปีพ.ศ. 2488 มหาวิทยาลัยเปิด อาจินต์ ปัญจพรรค์ ก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ ด้วยภาวะจำยอม เพราะต้องหันหลังให้ชนบทของจังหวัดสุพรรณบุรี แหล่งการพนันที่ทำเงินให้เขามหาศาล ดังที่เขาบอกเล่า...
“...เจ้าหนุ่มนักเลงไพ่ประจำบ่อนจึงกลับกรุงเทพฯ หนีบสมุดตำราไปมหาวิทยาลัยอย่างเสียไม่ได้ เพราะต้องละทิ้งรายได้วันละ 50 บาท...”
ในปีพ.ศ. 2488 นั่นเอง องค์การสหประชาชาติ หรือ UN(United ) โดยคณะกรรมการสันติภาพแห่งโลก ประกาศประกวดคำขวัญสันติภาพไปทั่วโลก ให้ทุกประเทศภาคีสมาชิกเชิญชวนประชาชนเขียนคำขวัญส่งประกวดชิงรางวัล อาจินต์ ปัญจพรรค์ได้ใช้ความสามารถด้านการเขียนอีกครั้ง โดยส่งคำขวัญเข้าประกวด UN ในประเทศไทย ปรากฏว่าเขาได้รับรางวัลชนะเลิศด้วยคำขวัญว่า
“สงครามคือบาป สันติภาพคือบุญ”
เขาดีใจมากที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ เพราะกว่าจะเขียนคำขวัญนี้ออกมาได้ ต้องใช้เวลาคิดหลายสิบวันด้วยกัน เป็นประโยคง่าย ๆ ใช้คำธรรมดา แต่เสมือนปรัชญาที่ให้ความหมายอันลึกซึ้งและมีความหมายครอบคลุมเกี่ยวกับความน่ากลัวของสงครามที่มีแต่การทำลายล้าง ตรงกันข้ามกับสันติภาพที่นำความสุขมาสู่มนุษยชาติ
เด็กหนุ่มที่ชื่ออาจินต์ ปัญจพรรค์ไปรับรางวัลที่สำนักงานทนายความของขุนประเสริฐศุภมาตรา ซึ่งเป็นอาจารย์สอนปรัชญาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในซอยพญาไม้ เชิงสะพานพุทธ ฝั่งธนบุรี เขาได้รับรางวัลระดับประเทศเป็นครั้งแรกด้วยความภาคภูมิใจเป็นเงินรางวัล 500 บาท แต่สำหรับการกลับมาเรียนใหม่ในครั้งนี้แล้ว เขากลับไม่ได้ให้ความสนใจเหมือนกับการเขียนแม้แต่น้อย ตั้งแต่ต้นจนจบตอนนี้ เขาเล่าไว้ใน “คำสารภาพของกากจุฬาฯ”...
“...ครั้นกลับเข้ามาเรียนใหม่ ค่าขนมไปมหาวิทยาลัยวันละ 5 บาท ผีร้ายแห่งเงินที่เคยได้มาโดยทางชั่วร้ายก็มาจี้เตือนข้าพเจ้าให้คิดทำงานหาเงินวันละมาก ๆ อย่ามาจมเรียนด้วยค่าขนมอย่างเด็ก ๆ อยู่เลย สงคราม-ความหนุ่ม ทำให้ข้าพเจ้าเสียไปเสียแล้ว ทั้ง ๆ ที่คนอื่นไม่เห็นมีใครเขาเสีย...ใจแตกเสียแล้ว เงินทำลายข้าพเจ้า...เงินทำลายข้าพเจ้า เงินชั่ว ๆ อันเป็นรายได้จากบ่อนการพนันที่ผิดกฎหมายล่อลวงให้ข้าพเจ้าหลงเคลิ้มไปว่า มีงานที่รายได้ดีกว่าการเรียนจบเอาปริญญา...”
เลือดหนุ่มอันฉูดฉาดฉีดพล่านทั่วสรรพางค์กายของเขา จิตใจจดจ่ออยู่กับภาพความหลังครั้งแจกไพ่อยู่ในบ่อน ทำให้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนราวกับไม่ใช่อาจินต์ ปัญจพรรค์คนเดิม เพราะการพนันเป็นเหตุ...
“ความหนุ่ม-ความระเริงกับรายได้ในบ่อนการพนันยามสงคราม ทำให้เด็กชายอาจินต์ ปัญจพรรค์ ที่สมุดพกรายงานได้ถึงความเป็นผ้าพับไว้ กลายเป็นเด็กหนุ่มที่ลืมหมดทุกอย่าง นอกจากความชั่ว”
หัวใจของเด็กหนุ่มที่ชื่ออาจินต์ ปัญจพรรค์ หลงระเริงไปกับความเย้ายวนของแหล่งบันเทิงในเมืองกรุงและอบายมุข ทำให้เขาลืมทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะการเรียนซึ่งเป็นหน้าที่ของตนที่ต้องรับผิดชอบ...
“วันสอบทุกคนเข้าไปนั่งโต๊ะตามชื่อและเบอร์ของตน แต่ข้าพเจ้านั่งเดียวดายอยู่ที่สโมสร
ไม่เข้าสอบ ข้าพเจ้าจะไปสอบอะไรกับเขา ในเมื่อสมองเต็มไปด้วยโปรแกรมหนังและโปรแกรมม้า ข้าพเจ้าไม่ได้เรียนกับเขาเลย จะเข้าไปนั่งทุรนทุรายให้อากาศในห้องของเขาเหม็นอับไปทำไม ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็มีธาตุดีอยู่ในตัว
จากสมุดทะเบียนประวัติครั้งที่อาจินต์ ปัญจพรรค์ เป็นนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมัยนั้นวิศวฯปี 2 มี 11 วิชา เขามีความถนัดวิชาเขียนแบบมากที่สุด จึงเป็นวิชาเดียวที่เขาเข้าสอบและยังได้คะแนนดีอีกด้วย...
“...ถึงวันสอบเขียนแบบ ข้าพเจ้าเข้า และได้ถึง 80% ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ฝึกอย่างจริงจัง แต่ใจมันชอบ และก็ไอ้วิชาเขียนแบบนี้เอง ทีทำให้ข้าพเจ้าไม่อดตายในเหมืองแร่ นอกนั้นไม่สอบ เพราะไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องเพราะไม่เรียน ไม่เรียนเพราะใจมันคิดวิมานในอากาศ เพราะความหลงผิดกับสงครามมันสอน ก็ไอ้สงครามนั่นน่ะ มันเป็นความถูกต้องอยู่เมื่อไหร่ล่ะ...”
นี่เองคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของอาจินต์ ปัญจพรรค์ เขาจำต้องอำลาการเป็นนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและหันหลังให้กับมหาวิทยาลัย...
“...คนเดียวในโลกที่ไม่ยอมเข้าห้องสอบ คนอื่นมีแต่ตะเกียกตะกายหาทางเข้าสอบ ชั่วโมงเวิ้คช้อปไม่พอ ก็ต้องรีบเข้าเสียให้พอ เวลาเรียนน้อยมาแต่ต้นปี ก็รีบเช้าเรียนให้ถี่ ๆ ก่อนสอบ เขา
หวังที่จะเข้าสอบ หวังที่จะสอบได้ ไม่ด้วยความแน่ใจ ก็ด้วยความฟลุกหรือคัดลอก และในประการหลังนี้ ก็มีคนถูกคัดกระเด็นไปจากจุฬา ฯเหมือนกัน...”
สำหรับเขานั้นถูกคัดชื่อออกจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วยสาเหตุนี้เพียงสาเหตุเดียว...
“...ให้คัดชื่อนายอาจินต์ ปัญจพรรค์ ออกจากทะเบียนนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยโทษฐานไม่ยอมเข้าห้องสอบปลายปี ในการสอบชั้นปีที่สอง
ลงนาม......................................................
คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์
พ.ศ. 2490”
อาจินต์ ปัญจพรรค์ได้เขียนกลอนนิราศเป็นการระลึกถึงความหลังและเป็นอุทาหรณ์ ลงในหนังสือของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2508 ชื่อ “นิราศจุฬาฯ” ขอคัดมาส่วนหนึ่ง...
“ นิราศร้างห่างจุฬาฯมหาสถาน
ขอก้มเกล้ากราบลาท่านอาจารย์
ขอลาท่านมิ่งมิตรทั้งหญิงชาย
ขอลาตึกศึกษามหาศาล
ขอลาลานหญ้าใหญ่โอ้ใจหาย
ลาละหนอหอประชุมชุมนุมกาย
ตำรารายเรียงรอก็ขอลา
จามจุรีมีอยู่เป็นคู่ตึก
ใจระทึกนึกระทมต้องก้มหน้า
เมื่อรีทายร์อายแท้ไม่แลตา
ตอนเข้ามาเชิดหน้าระหว่างคน
เมื่อขาออกบอกใครไม่เต็มปาก
แสนกระดากความเก่าจะเล่าบ่น
เมื่อคราวเรียนเหลวไหลไม่อดทน
จึงได้ผลรีทายร์ละลายตัว...”